เมื่อความมั่นคงทางพลังงานเป็นมากกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย และธัญญาภรณ์ สุรภักดี
โครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand)

เราทุกคนน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ความมั่นคงทางพลังงาน” กันมาบ้างไม่มากก็น้อย ความมั่นคงทางพลังงานเป็นสิ่งที่รัฐบาลของประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ และจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนในประเทศ

วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาสำรวจและทำความเข้าใจความหมายเบื้องต้นของความมั่นคงทางพลังงาน เพื่อจะได้เห็นความหมายที่หลากหลายของคำๆ นี้ รวมถึงประเทศไทยมีจุดยืนเป็นอย่างไรในเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน

ความมั่นคงทางพลังงานคืออะไร

ในเบื้องต้นความมั่นคงทางพลังงานหมายถึง “การมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง” หากเน้นไปที่ความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า ก็จะหมายถึงความสามารถที่จะจ่ายไฟฟ้าให้มากพอ เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าของประชาชนในประเทศ และไฟฟ้าที่จ่ายออกไปจะต้องมีความเสถียร ไม่ติดๆ ดับๆ ซึ่งนิยามดังกล่าวเป็นนิยามความมั่นคงทางพลังงานที่ประเทศไทยยึดถือมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจความมั่นคงทางพลังงานผ่านมุมมองของหน่วยงานต่างประเทศรวมถึงองค์กรระหว่างประเทศ พบว่า ความมั่นคงทางพลังงานในปัจจุบันไม่ได้มีความหมายหรือให้ความสำคัญเฉพาะการมีพลังงานที่เพียงพอและเสถียรเท่านั้น แต่ยังมีความหมายที่ครอบคลุมมิติอื่นๆ ดังนี้

  1. ความเหมาะสมด้านราคา  
    ตามที่ได้เน้นย้ำไปก่อนหน้านี้แล้วว่า พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ และมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน ดังนั้น หากราคาพลังงานมีความเหมาะสม และไม่เป็นต้นทุนที่สูงเกินไปสำหรับภาคเอกชน จะส่งผลให้ประชาชนและภาคเอกชนไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงเกินความจำเป็น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมภาคเอกชนให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศเพิ่มขึ้น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยด้านความเหมาะสมของราคาพลังงาน ด้วยเหตุผลที่ว่าราคาพลังงานที่เหมาะสมจะช่วยให้ประชาชนในประเทศสามารถเข้าถึงพลังงานได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

  2. ความพร้อมใช้งานของแหล่งเชื้อเพลิง
    ความพร้อมใช้งานของแหล่งเชื้อเพลิง หมายถึง เชื้อเพลิงที่นำมาใช้ผลิตพลังงานจะต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย พร้อมใช้งาน และไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงใดเชื้อเพลิงหนึ่งมากเกินไป พูดง่ายๆ คือแหล่งเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ผลิตพลังงานควรเป็นเชื้อเพลิงที่หาได้ในประเทศ และมีมากพอต่อการนำมาใช้ผลิตพลังงาน รวมถึงควรใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลาย เพื่อให้การผลิตพลังงานมีความเสถียรและมีความเสี่ยงต่ำ  ซึ่งทางกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้ เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงที่เข้าถึงได้ยากหรือมีต้นทุนในการผลิตที่สูงเกินไปจะสร้างภาระในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มมองหาเชื้อเพลิงที่เข้าถึงได้ง่าย ลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ และกระจายชนิดของเชื้อเพลิงให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ความพร้อมใช้งานเกิดขึ้นได้จริง โดยไม่พึ่งพาเชื้อเพลิงใดเชื้อเพลิงหนึ่งมากเกินไป

  3. ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
    การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพจะทำให้สามารถผลิตพลังงานได้ในปริมาณสูง และลดการใช้เชื้อเพลิง อีกทั้งยังช่วยให้เกิดการใช้ไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า ทำให้การผลิตและใช้พลังงานมีประสิทธิภาพ หนึ่งในตัวอย่างของเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน คือ สมาร์ทกริด (Smart Grid) ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการระบบไฟฟ้าทั้งการผลิตไฟฟ้า การส่งไฟฟ้า และการจำหน่ายไฟฟ้า ทำให้สามารถรองรับรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในปริมาณสูงได้ เนื่องจากสมาร์ทกริดมีความยืดหยุ่นมากกว่าระบบสายส่งเดิมซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่มากกว่าการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบกระจายศูนย์อย่างพลังงานหมุนเวียน  โดยสมาร์ทกริดเป็นเทคโนโลยีที่ประเทศเยอรมนีมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างมาก เนื่องจากตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเรื่อยๆ การพัฒนาสมาร์ทกริดจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน และสร้างความมั่นคงให้กับระบบพลังงาน

  4. คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    ความมั่นคงทางพลังงานในมิติผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมถือเป็นมิติใหม่ของความมั่นคงทางพลังงาน แต่กลับเป็นมิติที่หลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศต่างให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสภาพลังงานโลก (WEC) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ของสภาพแวดล้อมโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากภาวะโลกร้อน ทำให้ต้องมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น การเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานจำเป็นจะต้องคำถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่อาจจะตามมาด้วยเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับคำเตือนของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ที่เน้นให้รัฐบาลทุกประเทศคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่อาจตามมาจากการพัฒนาความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศของตนเอง นอกจากนี้ การคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมยังเป็นปัจจัยที่หลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกาและประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ใช้เป็นเงื่อนไขในการจัดเก็บภาษีการนำเข้าสินค้าที่กระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งรวมถึงการใช้ไฟฟ้าในการผลิตด้วยเช่นกัน รวมถึงเป็นเงื่อนไขที่บริษัทยักษ์ใหญ่พิจารณาเลือกตั้งฐานการผลิตในประเทศที่มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนซึ่งมีการปล่อยคาร์บอนต่ำ เพื่อมุ่งไปสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050

ความมั่นคงทางพลังงานของไทย

สำหรับคำนิยาม “ความมั่นคงทางพลังงาน” ของไทย หากพิจารณาจากเนื้อหาที่ปรากฏในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ แผน PDP ได้ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางพลังงานในมิติการมีปริมาณไฟฟ้าเพียงพอที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพื่อรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนั้น ความมั่นคงทางพลังงานในแผน PDP จึงเน้นไปที่การวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า ให้สามารถรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เห็นได้จากขั้นตอนการจัดทำแผน PDP ที่เริ่มต้นจากการพยากรณ์ความต้องการการใช้ไฟฟ้า โดยคำนวนจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการเพิ่มของประชากร รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น จากนั้นจึงกำหนดประเภทของโรงไฟฟ้าที่จะใช้ผลิตไฟฟ้าตามความต้องการไฟฟ้าที่คาดการณ์ไว้จากความมั่นคงทางพลังงานของไทยที่มุ่งเน้น “การผลิตให้มากพอ” ประกอบกับการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในแผน PDP ที่สูงเกินกว่าความต้องการที่เกิดขึ้นจริงมาตลอด 20 ปี ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองในระบบล้นเกินความจำเป็นถึง 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2566 โดยผู้บริโภคต้องแบกรับค่าใช้จ่ายผ่านบิลค่าไฟ ถึงแม้โรงไฟฟ้าเหล่านั้นจะไม่เดินเครื่องผลิตไฟก็ตาม

ความมั่นคงทางพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นความมั่นคงที่ผูกติดกับการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซฟอสซิลเกือบ 4 ทศวรรษ โดยในช่วงแรกใช้ก๊าซจากอ่าวไทยเป็นหลัก แต่ภายหลังความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับก๊าซในประเทศเริ่มไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้ต้องนำเข้าจากเมียนมาผ่านทางท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-เมียนมาตั้งแต่ปี 2543 และเริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG ในปี 2554 โดยขนส่งมาทางเรือและขึ้นฝั่งที่ท่าเทียบเรือ LNG ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านหนองแฟบ ตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง

การนำเข้าก๊าซจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ LNG ซึ่งมีราคาสูงและผันผวนกว่าก๊าซในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ค่าไฟแพงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ LNG มีราคาสูงขึ้นอย่างมาก จนต้องมีการปรับขึ้นค่าเอฟทีหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน และภาระต้นทุนของภาคธุรกิจ

เรียกได้ว่า การที่ไทยยังคงใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเป็นหลักจนถึงปัจจุบัน อาจไม่ตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงานในแง่ความเหมาะสมของราคา และความพร้อมใช้งานของแหล่งเชื้อเพลิงอีกต่อไป เนื่องจากต้องพึ่งพิงการนำเข้าเชื้อเพลิงมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลปี 2566 พบว่า ไทยมีสัดส่วนการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้น ถึง 54% จากปี 2565 โดยที่การนำเข้า LNG และก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมีสัดส่วนรวมกันเกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 43 % ของก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในประเทศ

ถึงแม้ในแผน PDP2015 เคยมีการระบุถึงความมั่นทางพลังงานในมิติการใช้เชื้อเพลิงหลากหลาย รวมทั้งมีความเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป นอกเหนือจากความมั่นคงทางพลังงานที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการใช้งาน แต่ต่อมาแผน PDP 2018  และ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นแผนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้นำความมั่นคงทางพลังงานในมิติความหลากหลายของเชื้อเพลิงมาใส่ไว้ในแผน แต่มุ่งเน้นความมั่นคงทางพลังงานในระดับประเทศ และภูมิภาคที่ตอบสนองปริมาณความต้องการไฟฟ้าเพื่อรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรณีเกิดเหตุวิกฤตด้านพลังงาน

ในส่วนของความมั่นคงทางพลังงานในมิติการคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ถ่านหินจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าก๊าซธรรมชาติประมาณ 2 เท่า ต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย แต่การที่ไทยใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมาจากการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติมากที่สุด เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหิน และน้ำมัน

ในทางกลับกัน ความมั่นคงทางพลังงานในมิติการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีการกล่าวถึงการพัฒนาระบบสมาร์ทกริดอยู่ในแผน PDP ฉบับปัจจุบัน และประเทศไทยก็มีการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด พ.ศ. 2558 – 2579 ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงแผนการพัฒนาระยะกลาง ปี 2565 – 2574 และเหลือเวลาอีกประมาณ 12 ปี ก็จะสิ้นสุดแผน แต่การดำเนินงานยังอยู่ในระดับโครงการนำร่องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทำให้เกิดเป็นข้อคำถามต่อการพัฒนาในอนาคต และการขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ

เมื่อความมั่นคงทางพลังงานเป็นมากกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม

ในยุคที่โลกกำลังเดือดและความยั่งยืนคือสิ่งที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ ความมั่นคงทางพลังงานจึงควรไปให้ไกลกว่าการเพิ่มกำลังการผลิตที่ผูกติดกับเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ตาม ในร่างแผน PDP2024 ยังคงเดินหน้าวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิล และซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่ม ภายใต้ตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าและเกณฑ์ชี้วัดระดับความมั่นคงของระบบไฟฟ้า หรือ LOLE 0.7 วัน/ปี ซึ่งอาจไปซ้ำเติมปัญหาการมีโรงไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น โดยไม่พิจารณาถึงมิติอื่นๆ อย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็น

  • ความเหมาะสมด้านราคาภายใต้โครงสร้างค่าไฟที่กำหนดให้ต้นทุนทุกอย่างถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
  • ลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานในประเทศเพิ่มขึ้น โดยมีการกระจายสัดส่วนเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม
  • การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การผลิตและใช้ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • การผลิตไฟฟ้าที่คำนึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ จากการศึกษาการเปลี่ยนผ่านพลังงานไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยโครงการ CASE (Clean, Affordable and Security for Southeast Asia) พบว่าทั้ง 4 ประเทศยังคงพึ่งพาและวางแผนใช้ก๊าซธรรมชาติต่อไป โดยนำไฮโดรเจนและแอมโมเนียมาเผาร่วมกับเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) มาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ช่วยทั้งในด้านการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมีความเสี่ยงต้นด้านทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

อีกทั้งได้เสนอว่า การเปลี่ยนผ่านพลังงานเพื่อไปสู่เป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องนิยามความมั่นคงพลังงานใหม่ โดยเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญเรื่อง “การรักษาแหล่งพลังงานให้เพียงพอ” เป็น “การเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบพลังงาน” ทั้งในแง่การผลิตและใช้ไฟฟ้า ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน การส่งเสริม Energy Efficiency การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ใช้รถไฟฟ้าแทนรถน้ำมัน ความยืดหยุ่นถือเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงทางพลังงานในยุคที่ต้องใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนฟอสซิล และระบบสายส่งต้องมีการคำนึงถึงการกักเก็บไฟฟ้า การบริหารจัดการพลังงาน รวมถึงต้องเพิ่มพลังงานหมุนเวียนก็ในสัดส่วนที่มากกว่าแผนปัจจุบันของรัฐบาลจึงจะสามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้

จากสถานการณ์และเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ไทยควรเร่งทบทวนนโยบายพลังงาน ไปสู่ความมั่นคงทางพลังงานในมุมมองที่เปิดกว้างและหลากหลายมิติ เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศยืนอยู่บนเส้นทางแห่งความมั่นคงทางพลังงานที่มีความหมายครอบคลุมถึงความมั่นคงของประชาชนและความยั่งยืนของโลกใบนี้ ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่จะไม่ทำให้ไทยตกขบวนการพัฒนาบนเวทีโลก

รายการอ้างอิง

Bundesverband der Energie- und Wasserwirtschaft. (2012). Smart grids: The energy system of the future. https://www.bdew.de/media/documents/Pub_20120601_Brochure_Smart-Grids-Germany.pdf

NewClimate Institute and Agora Energiewende. (2024). Navigating the Transition to Net-zero Emissions in Southeast Asia – Energy Security, the Role of Gaseous Energy Carriers and Renewables-based Electrification. https://caseforsea.org/post_knowledge/navigating-the-transition-to-net-zero-emissions-in-southeast-asia-energy-security-the-role-of-gaseous-energy-carriers-and-renewables-based-electrification/Federal Ministry for Economic Affairs and Climate Action. (n.d.). Smart grids. BMWK. https://www.bmwk.de/Redaktion/EN/Artikel/Energy/smart-grids.html

บทความยอดนิยม

พีดีพีคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับบิลค่าไฟของเรา

แผนพลังงานชาติ (NEP) คืออะไร  ทำไมเพิ่งจะมี ?   แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) หรือ

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

ทำไม 'โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว' ในร่าง PDP2024 ถึงไม่จำเป็น

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ภาคประชาชนทวงแผน PDP พร้อมเรียกร้องการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต้องมีตัวแทนภาคประชาสังคมและประชาชนอยู่ในคณะกรรมการร่างแผน PDP

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก ภาคพลังงานกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net

สรุปประเด็นสำคัญจากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg