ช่วงนี้หลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกันว่าทำไมมันร้อนเหมือนซ้อมลงนรกได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือบิลค่าไฟที่ทะลุเดือดไม่ต่างกับอากาศ เพราะต้องเปิดแอร์ฉ่ำๆ เพื่อดับร้อน
จากรายงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 20.54 น. เกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อยู่ที่ 34,443.1 เมกะวัตต์ ถือเป็นการทำลายสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 เวลา 21.41 น. ซึ่งเคยทำไว้ที่ 34,130.5 เมกะวัตต์ และคาดว่าในเดือนพฤษภาคมนี้ก็จะมีพีคอีกรอบ
แม้ว่าจะเกิดตัวเลขการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว แต่ก็จะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ในระบบการไฟฟ้า เพราะตัวเลขนี้ยังห่างไกลจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีในระบบ เพราะมีการสำรองไฟฟ้าไว้สูงจนถึงขั้นล้นเกิน โดยปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในระบบ อยู่ที่ 49,571.79 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นกำลังไฟฟ้าสำรองที่สูงถึง 43.92% ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด
ฟังดูประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานดีสุดๆ ใช้ไฟพีคแค่ไหน ก็ยังมีไฟล้นเหลือสำรองไว้ ไม่ต้องกลัวว่าเปิดแอร์มากแค่ไหน ไฟในประเทศจะไม่พอ แต่รู้ไหมว่า ที่สำรองไว้จนล้นเกินน่ะ ใช่ว่าจะไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะมันบวกอยู่ในบิลค่าไฟเราแล้ว
หลายคนคงคิดว่า อ้าว…แล้วจะไม่สำรองไฟเลยเหรอ ถ้าไม่พอขึ้นมา ไฟดับจะทำยังไง หน้าร้อน อากาศร้อน การใช้ไฟยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ที่จริง การสำรองไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำ และมีมาตรฐานของมันอยู่เพื่อให้มีความมั่นคงทางพลังงาน จากกราฟเส่้นสีฟ้าจะเห็นว่าในวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 20.54 น. เกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อยู่ที่ 34,443.1 เมกะวัตต์ ตัวเลขการใช้ไฟสูงสุดของปี หรือพีคนี่แหละ จะเป็นตัวบอกว่าเราควรจะสำรองไฟไว้แค่ไหน ตามมาตรฐานแล้ว เราควรจะสำรองไฟเพิ่มจากตัวเลขพีคที่ประมาณ 15% ซึ่งก็คือเส้นกราฟสีส้ม ซึ่งเป็นตัวเลขที่ผ่ารการคำนวณมาแล้วว่า 15% นี่แหละ พอ เราใช้ไฟไม่เกินนี้แน่นอน
แต่ประเทศไทย ไม่ได้สำรองไว้แค่ 15% น่ะสิ เราสำรองไฟด้วยการเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าเพิ่มตลอดในแบบล้นแล้วล้นอีก ล้นเกินจาก 15% ไปมากๆ ถ้าดูจากกราฟว่าล้นแค่ไหนก็ให้ดูเส้นกราฟสีเทา นั่นคือ กำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีในระบบที่ประเทศไทยมี หรือพูดง่ายๆ ว่ามีโรงไฟฟ้าที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้และซื้อไฟจากต่างประเทศรวมๆ กันแล้วอยู่ที่เส้นสีเทานั่นเอง ซึ่งมันเกินจากเส้นสีส้มไปมากกก และการที่มันล้นเกินไปมากนั้น แม้ว่าเราจะใช้ไฟไม่ถึงเท่าที่ผลิตได้ (พื้นที่สีแดง) แต่ทั้งหมดนั้นก็มีค่าใช้จ่าย ที่ถูกผลักมาให้เราจ่ายในบิลค่าไฟของเราทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นค่าสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ค่าซื้อก๊าซมาผลิตไฟฟ้า ค่าการดำเนินการของโรงไฟฟ้า (แม้ว่าจะเดินเครื่องไม่เต็มเพราะเราใช้ไฟไม่ถึงก็ตาม) ฯลฯ ค่าทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในบิลค่าไฟของเราทั้งนั้น
พีคกว่าปริมาณการใช้ไฟสูงสุดก็คือการสำรองไฟที่ล้นเกินที่ทำให้มีค่าใช้จ่ายจุกๆ โดยไม่จำเป็นนี่แหละ
และที่พีคกว่านั้น ก็คือ แม้ว่าเราจะปริมาณโรงไฟฟ้าที่ล้นเกินที่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังเพราะเราใช้ไฟไม่ถึง แต่ต้องจ่ายในราคาเต็มตามสัญญา ในอนาคตเรายังมีโรงไฟฟ้าที่รอเข้าระบบอีกหลายโรงจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่1) และยังไม่รู้ว่าแผน PDP2024 ที่กำลังจะออกมาในปีนี้จะมีโรงไฟฟ้าเพิ่มอีกกี่โรง
.
รู้แหละว่าอากาศร้อน ต้องเปิดแอร์ฉ่ำๆ แต่ก็อยากให้รู้ไว้ด้วยว่าค่าไฟที่แพงฉ่ำๆ ตามมานั้น ไม่ได้มาจากแค่การใช้ไฟที่เพิ่มขึ้นของเราเท่านั้น แต่ยังมาจากการที่รัฐยังเซ็นสัญญาโรงไฟฟ้าไม่หยุดไม่หย่อนแม้กำลังการผลิตที่มีจะล้นเกินนนนนจนเวอร์ ในแบบที่ไม่ต้องกลัวไฟไม่พอ แต่ก็ยังเซ็นเพิ่มอีกด้วย