สร้างเขื่อนผลิตไฟในลาวให้ไทย คุ้มค่าสำหรับใคร

เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี JustPow, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) และโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) จัดงานเสวนา “เขื่อนที่จะสร้างใหม่ทางโน้น หนาวถึงบิลค่าไฟทางนี้: วันหยุดเขื่อนโลก แต่เรากำลังจะมีเขื่อนเพิ่มอีกอย่างน้อย 6 เขื่อน” เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ไพรินทร์ เสาะสาย ผู้ประสานงานการรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกาและยุโรปเกิดกระแสทุบเขื่อน เพราะมองว่านวัตกรรมเมื่อร้อยกว่าปีก่อนล้าสมัยแล้ว อีกทั้งยังส่งผลกระทบจำนวนมาก จึงมีการรื้อโครงสร้างต่างๆ ที่กีดขวางทางน้ำ โดยสหภาพยุโรปมีการรื้อโครงสร้างต่างๆ ในแม่น้ำทั่วยุโรปให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ 25,000 กิโลเมตร แต่น่าแปลกใจที่รัฐไทยและภูมิภาคนี้ยังนิยมสร้างเขื่อน เราถูกทำให้เชื่อว่าเขื่อนผลิตไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาด

ในภูมิภาคนี้มีการทำโครงการร่วมกับเพื่อนบ้าน เช่น ไทย ลาว นอกจากนี้ไทยก็มีความพยายามที่จะเป็นตัวกลางซื้อไฟจากลาวและส่งไปให้มาเลเซียและสิงคโปร์ด้วย ขณะที่ลาวประกาศตัวเองว่าเป็นแบตเตอรีแห่งเอเชีย และเชื่อว่ารายได้จากตรงนี้จะทำให้พัฒนาประเทศ แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้ก็คือ ประชาชนลาวไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

ไพรินทร์ กล่าวว่า ชัดเจนว่าเขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด เพราะมันถูกแลกด้วยแนวคิดว่า สร้างสิ่งหนึ่งต้องเสียสิ่งหนึ่ง หรือ trade-off แต่เราไม่ควรใช้แนวคิดนี้แล้ว เพราะที่ผ่านมา เราเห็นว่าการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาสร้างผลกระทบมากมาย เขื่อนถูกสร้างบนพื้นที่ป่าที่มีระบบนิเวศ คนสร้างเขื่อนมักอ้างว่าการสร้างเขื่อนมีแต่ต้นทุนที่เป็นหิน ปูน แต่จริงๆ แล้ว แม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำนานาชาติมีระบบนิเวศ และเป็นความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ต้นทุนที่สำคัญที่ไม่ควรต้องถูกแลกคือ วิถีชีวิตของประชาชนที่ถูกโยกย้ายออกไป การเยียวยาไม่ได้ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

หรือกรณีที่แม่น้ำโขงที่ปลายน้ำในเวียดนาม ปริมาณน้ำจืดไหลลงมาน้อยลง เพราะแม่น้ำถูกกักไว้ น้ำเค็มรุกเข้ามาเร็วและปริมาณมาก จนปลูกข้าวไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ถูกคำนวณในต้นทุนการก่อสร้างหรือไม่ และกลไกความรับผิดชอบเป็นอย่างไร ในเมื่อแม่น้ำโขงข้ามพรมแดน

ตนเองอยากจะย้ำกับคนไทยว่า สิ่งเหล่านี้คือต้นทุน และต้องคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่เราจะเดินหน้าจัดหาพลังงานที่เราคิดว่าเป็นพลังงานสะอาด โดยที่กำไรทั้งหมดจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงอยู่ในกระเป๋าของผู้ลงทุนมากกว่าประชาชนในไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และอยากสื่อสารไปยังนักลงทุนว่า โครงการเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่ความมั่นคงทางพลังงาน และสถาบันทางการเงินที่เชิดชูแนวคิดธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนควรจะพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและต่อประชาชนไทยและประชาชนในภูมิภาคนี้ ยังมีพลังงานที่สะอาดจริงๆ และใช้เวลาในการสร้างน้อยกว่า เทียบกับเขื่อนที่ใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 7 ปี

“โครงการเขื่อนใช้เวลาในการสร้างอย่างน้อย 7 ปี และสัญญายาว 27-35 ปี ในระยะเวลา 7 ปีของการก่อสร้างเพื่อให้ได้ไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์เป็นช่วงเวลาที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในต่างประเทศและในภูมิภาคนี้ที่ราคาถูก รบกวนสิ่งแวดล้อมหรือทำลายวิถีของชุมชนน้อยมาก เช่น การทำโซลาร์เซลล์ โซลาร์รูฟท็อป มีทางเลือกอื่นนอกจากเขื่อนที่เป็นนวัตกรรมเมื่อร้อยปีที่แล้ว”

สำหรับทางออกของปัญหาเขื่อน ไพรินทร์เสนอว่า ควรยืดระยะเวลาการทำสัญญาจนกว่าจะมีการประเมินผลกระทบ และควรจะยกเลิกการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านว่าจะต้องเป็นเขื่อนเท่านั้น โดยยกตัวอย่างว่าในลาวมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งใช้เวลาสั้นกว่า แม้กระบวนการอาจจะถกเถียงได้อยู่

สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow องค์กรด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทยเพราะจากข้อมูลจะเห็นว่าไทยมีสัดส่วนการลงทุนในเขื่อนบนแม่น้ำโขงที่ลาวมากที่สุด แต่บริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการมีที่เป็นของลาวน้อยมาก ส่วนใหญ่มีบริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของ และมีธนาคารไทยที่ให้กู้ยืม 

หากเปรียบเทียบราคารับซื้อไฟฟ้าของไทยจากเขื่อนเหล่านี้จะพบว่า ราคารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวระยะหลังสูงขึ้นมาก เช่น เขื่อนหลวงพระบาง 2.84 บาทต่อหน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับเขื่อนระยะแรกที่อยู่ระหว่าง 1.70 บาทต่อหน่วย (น้ำเทิน 2) ถึง 2.10 บาทต่อหน่วย (น้ำงึม และเซเสด) หรือเมื่อเปรียบเทียบกับราคาซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี) ในประเทศ ที่มีราคาเพียง 2.83 บาทต่อหน่วย อีกทั้ง กบง. มีมติไม่ต่อสัญญาเขื่อนห้วยเฮาะ ซึ่งราคาซื้อไฟเพียง 2.14 ต่อหน่วย และน้ำเทิน 2 ซึ่งราคาซื้อไฟเพียง 1.7 บาทต่อหน่วย เหตุใดจึงต้องสร้างเขื่อนใหม่ ที่ราคาซื้อไฟแพงกว่าเดิม โดยไม่พิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การต่อสัญญาเขื่อนเดิม ซึ่งก็จะได้กำลังการผลิตมากกว่าเขื่อนใหม่ที่จะสร้างขึ้นเสียอีก

นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนจากอ่างเก็บน้ำทำให้โลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และการปล่อยก๊าซมีเทนจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของการปล่อยก๊าซมีเทนโดยมนุษย์ยังสามารถนับเป็นพลังงานสะอาดได้หรือไม่

เมื่อดูราคาการซื้อไฟก็แสดงให้เห็นว่าไม่ถูก คำถามอยู่ที่ว่าเขื่อนยังเป็นพลังงานราคาถูกอีกหรือไม่ เหตุใดเราจึงไม่ต่อสัญญาจากเขื่อนที่มีอยู่เดิม แต่ไปลงทุนสร้างเขื่อนใหม่และซื้อไฟราคาแพงมากขึ้น ซึ่งจะกระทบกับค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่าย

สันติชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา เรามักถูกวิจารณ์ว่าเอาแต่ค้าน แล้วตกลงจะเอาอะไรบ้าง แต่ในมุมมองของตนเองปัญหาก็คือ เรารู้อะไรบ้าง 

“โจทย์ใหญ่ในนโยบายพลังงานในประเทศไทยคือ การแบข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล และทำให้มีเสียงของประชาชนอยู่ในนั้น ที่ผ่านมา รัฐไม่เคยให้ข้อมูลที่ชัดเจนและหลากหลายกับประชาชน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การสร้างเขื่อนต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขแบบใด ถ้ารัฐสามารถวางโปรโตคอลบางอย่างให้ประชาชนเข้าถึงสิ่งนี้ได้สะดวกมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ที่จะต้องสูญเสียที่ดินหรือถูกน้ำท่วมที่จะได้ข้อมูล แต่ต้องรวมถึงทุกคนที่เสียค่าไฟที่ควรได้รู้และเข้าไปให้ความคิดเห็น เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในพื้นที่ แต่มันส่งผลถึงค่าไฟของทุกคน”

ธัญญาภรณ์ สุรภักดี ผู้ประสานงานโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) เล่าย้อนถึงการลงทุนสร้างเขื่อนในประเทศลาวของไทยว่า เขื่อนในประเทศไทยลงหลักปักฐานในยุคสงครามเย็น ปี 2500 เป็นต้นมา เราจะเห็นว่าในช่วง 30 ปีนี้ มีเขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนในประเทศเขื่อนสุดท้ายที่ถูกสร้างในปี 2536 เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงช่วงทศวรรษ 2530 ภูมิภาคนี้มุ่งไปที่การค้าและการพัฒนามีการทำ MOU ไทย-ลาว 2536 ประมาณสิบเขื่อน ตั้งแต่ปี 2540 เราเริ่มเซ็นสัญญาซื้อไฟจากเขื่อนลาว ผลจากวิกฤติต้มยำกุ้งทำให้ กฟผ. เลื่อนแผนการลงทุนออกไป จนปี 2545 เริ่มเซ็นสัญญาและปี 2550 เริ่มมีการจ่ายไฟ ปัจจุบันมีไฟ 4,500 เมกะวัตต์จากลาว การเซ็นสัญญาซื้อไฟจากเขื่อนลาวล็อตที่ใหญ่ที่สุดคือ ยุครัฐบาลประยุทธ์ 2 เขื่อนและรัฐบาลเศรษฐา 2 เขื่อน ซึ่งเราก็รอดูว่าจะมีโอกาสเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะตั้งแต่ 2540 เป็นต้นมา เรามีไฟฟ้าล้นเกินมาโดยตลอด

ธัญญาภรณ์ตั้งคำถามถึงความมั่นคงทางพลังงานที่ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศว่า เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เขื่อนในประเทศลาวจะผลิตไฟฟ้าให้เราได้ตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ยาว 25-29 ปี ซึ่งในร่างแผน PDP2024 กำหนดว่า ปี 2580 สัดส่วนจากไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 9 เปอร์เซนต์เป็น 15 เปอร์เซนต์ จะเรียกว่าเป็นการยืมจมูกเพื่อนบ้านหายใจหรือไม่ ทั้งที่เราก็สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศได้ นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า เรายังสามารถคาดการณ์จากระบบนิเวศหรือไม่ เพราะเราเห็นแล้วว่า การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงที่ผ่านมาทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนไป เกิดสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น น้ำน้อยกว่าปกติจนผลิตไฟไม่ได้

“เราไม่ค่อยพูดถึงการจัดการความต้องการไฟฟ้าในแง่การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือกลไกที่เป็นมาตรการจูงใจที่ทำให้หน่วยงานเอกชนต่างๆ ลดหรือใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ถ้าเราทำสิ่งนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าหรือเขื่อนใหม่

“ผู้ใช้ไฟเองก็ควรมีสิทธิผลิตไฟ ปัจจุบันเทคโนโลยีอนุญาตให้เราผลิตไฟฟ้าได้แล้ว แต่รัฐกลับไม่อนุญาตให้ประชาชนผลิตไฟเท่าที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันมีโควตาโซลาร์บนหลังคาของประชาชนรวมกันแค่ 350 เมกะวัตต์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรจะทวงจากภาครัฐ”

ปัจจุบันโดยเฉพาะบนแม่น้ำโขงสายประธานที่มีเขื่อนทั้งจากประเทศจีนและลาวรวมกันกว่า 10 แห่ง และมีแนวโน้มที่จะสร้างเพิ่มภายใต้ MOU การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทย-ลาว และร่างแผน PDP2024 ทั้งเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนปากลายที่เซ็นสัญญาไปแล้วและกำลังก่อสร้าง เขื่อนปากแบงและเขื่อนเซกอง4A4B ที่เซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ก่อสร้าง และเขื่อนที่มีแนวโน้มจะเซ็นสัญญาและก่อสร้างเพิ่มอีกในอนาคตอย่างเขื่อนสานะคามและเขื่อนภูงอย โดยเฉพาะเขื่อนสานะคามซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการเปิดเวทีให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น 

ข่าวยอดนิยม

รัฐสภายุโรปอนุมัติกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถบรรทุกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยในสาระสำคัญของกฎหมายนี้ รถบรรทุกที่ขายในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90% กฎหมายนี้จะส่งผลให้ผู้ผลิตรถบรรทุกหรือยานยนต์สำหรับงานหนัก ต้องให้ความสำคัญกับการผลิตรถที่ลดการปล่อยมลพิษมากขึ้น ซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าและรถที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน เพื่อลดสัดส่วนการจำหน่ายยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตลาดลงให้ได้ถึง 90% ในปี 2040 โดยกฎหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้รถไฟฟ้าให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ระหว่างทางก่อนจะถึงเป้าหมายนั้น ผู้ผลิตรถบรรทุกยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 45% ภายในปี 2030 แทน 30% ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิม ทั้งยังต้องบรรลุเป้าหมายที่จะลดให้ได้ 65% ภายในปี 2035 อีกด้วย ในการลงมติเพื่ออนุมัติกฎหมายนี้ มีเพียงอิตาลี โปแลนด์ และสโลวาเกียเท่านั้นที่ลงคะแนนเสียงคัดค้าน ในขณะที่สาธารณรัฐเช็กเป็นประเทศเดียวที่งดออกเสียง โดยประเทศที่ได้รับการจับตามองในการลงมติครั้งนี้มากที่สุดประเทศหนึ่ง คือ เยอรมนี เพราะนอกจากจะเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้แล้ว ก่อนหน้านี้เยอรมนีเป็นประเทศที่พยายามเจรจาเพื่อให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่ใช้เชื้อเพลิงซึ่งผลิตจากกระแสไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ได้ นอกจากความพยายามที่จะเจรจาเรื่องเชื้อเพลิงสังเคราะห์แล้ว ยังมีเรื่องท่าทีของรัฐบาลเยอรมนีที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสมของเยอรมนี ดังนั้น เพื่อให้เยอรมนีลงมติเห็นชอบในกฎหมายนี้ ทางสหภาพยุโรปได้เพิ่มบทนำที่ระบุว่า สหภาพยุโรปจะพิจารณาการบรรจุข้อกำหนดเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อนับรวมรถที่ใช้เชื้อเพลิงที่เป็นกลางทางคาร์บอนในกรณีที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป ณ เดือนธันวาคม 2023 ระบุว่า การขนส่งสินค้าทางถนนถือเป็นหัวใจสำคัญของการค้าและการพาณิชย์ของทวีปยุโรป […]

เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams)
เสียงโหวตของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนมีความหมาย

“ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ” ศศิกานต์​ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำชี้แจงของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในประเด็นเรื่องโครงการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 จากกรณีโครงการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าในส่วนของโครงการที่ยังไม่ได้ลงนามในวันที่ 19 เมษายน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น โดยก่อนหน้านี้ มีโครงการที่ กฟผ. เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ และมีการเปิดเผยว่าในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีการลงนามเพิ่มอีก 3 สัญญา โดยยังเหลือที่ยังไม่ได้ลงนามอีก 16 สัญญา โดยกล่าวว่าที่ต้องลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้านั้นมาจากการที่มีเงื่อนไขกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย […]

ภาคประชาชนจัดเวทีเสวนาคู่ขนานวัน Earth Hour เปิดโครงสร้างปัญหาค่าไฟไม่แฟร์ และชวนปิดสวิตช์ตัวการทำค่าไฟแพง

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่ใช่แค่น้ำเท้อที่จะทำลายพืชผลการเกษตร แต่เขื่อนปากแบง กำลังจะทำให้เกิดอ่างพิษของสารหนูจากเหมืองแรร์เอิร์ธที่ไหลมารวมกันในแม่น้ำโขง 

โครงการเขื่อนปากแบง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการก่อสร้างในปีนี้ และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  นอกจากปัญหาหลักในส่วนของประเด็นเรื่องพลังงาน ทั้งการที่กำลังการผลิตของไทยล้นเกินอยู่แล้ว เขื่อนในลาวที่ไทยซื้อไฟผลิตไฟได้น้อยลงเรื่อยๆ จากปัญหาระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ผันผวนอันเกิดมาจากทั้งเขื่อนแม่น้ำโขงของจีนที่ต้นน้ำ ที่กักและปล่อยน้ำจนทำให้ระดับน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ รวมไปถึงปรากฏการณ์เอลนิโญ่อันมีสาเหตุมาจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้หน้าแล้งน้ำในแม่น้ำโขงลดลง และราคารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนใหม่แพงมากขึ้น […]

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างเขื่อนที่ไทยซื้อไฟในประเทศลาว

ในการจะสร้างเขื่อนแห่งใหม่ในประเทศลาวที่จะเสนอขายไฟให้กับประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องได้ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า – Tariff MOU ก่อนจะนำไปสู่การเจรจากับผู้พัฒนาโครงการเพื่อจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Tariff Power

เขื่อนโขงของไทยในลาว – บททดสอบ “ธุรกิจยั่งยืน” ที่ไทยยังไม่ผ่าน

ในยุคแห่ง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ธนาคารพาณิชย์น้อยใหญ่ทั่วโลกต่างประกาศรับมาตรฐานและหลักการสากลต่างๆ ด้าน “ธุรกิจยั่งยืน” มาประดับบารมี ขับเคลื่อนกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร และสร้างการยอมรับจากสังคม