Search

เสียงจากเวทีที่อุบลฯ ไม่เอาเขื่อน(เพิ่ม)ได้ไหม

วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี ณ ร้านส่งสาร จ. อุบลราชธานี จัดโดย JustPow, JET in Thailand, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers), เครือข่ายประชาชนจับตาน้ำท่วมอุบล-เขื่อนแม่น้ำโขง และเครือข่ายประชาชนจับตาการลงทุนในเขื่อนลาว

วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 ณ ร้านส่งสาร จ. อุบลราชธานี จัดโดย JustPow, JET in Thailand, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers), เครือข่ายประชาชนจับตาน้ำท่วมอุบล-เขื่อนแม่น้ำโขง และเครือข่ายประชาชนจับตาการลงทุนในเขื่อนลาว

สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow เกริ่นให้เห็นภาพการใช้งบจัดการน้ำท่วมว่า ข้อมูลจากงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ 2566 ซึ่งรวบรวมโดย Rocket Media Lab พบว่า อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่ได้รับงบน้ำท่วมเป็นอันดับสองของประเทศ โดยได้งบทั้งสิ้น 1,937 ล้านบาท โดยเมื่อแบ่งประเภทตามกิจกรรมที่ทำ พบว่า อันดับหนึ่งของงบประมาณของจังหวัดอุบลราชธานีใช้ไปกับการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง 1,300 ล้านบาท ขณะที่อันดับสอง คือ การก่อสร้างฝาย 261 ล้านบาท ตามด้วยการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ 131 ล้านบาท สิ่งที่ควรพูดคุยกันต่อ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้น เข้ากันกับงบที่ได้หรือไม่ หรือควรโยกเงินไปทำอย่างอื่นที่อาจจะป้องกันหรือเยียวยาได้มากขึ้น 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ไฟอยู่ที่ 11% ของทั้งประเทศ โดยจังหวัดอุบลราชธานีใช้ไฟเป็นอันดับสามของภาค แต่อุบลฯ ก็เป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไฟฟ้าทั้งจากเขื่อนและโซลาร์ลอยน้ำ ขณะที่อุบลฯ ไม่ได้ใช้ไฟมากนัก และมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่แล้วอย่างน้ำท่วม แต่ก็อาจจะต้องเผชิญกับโครงการสร้างเขื่อนในลาว ไม่ไกลจากจังหวัดอุบลฯ ตามที่ระบุไว้ในร่างแผน PDP2024 ที่บอกว่าเราจะต้องใช้ไฟเพิ่มมากขึ้น โดยระบุสัดส่วนเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจากการซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนในประเทศลาวกว่า 3,500 เมกะวัตต์ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเจ้าของโครงการเขื่อนในลาวแล้ว ก็จะพบว่า แม้จะเป็นเขื่อนในลาว แต่บริษัทส่วนใหญ่เป็นสัญชาติไทย และเราก็ต้องซื้อไฟกลับมา โดยคนจ่ายค่าไฟก็คือทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ โดยที่ราคารับซื้อไฟก็แพงขึ้นและค่าไฟของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาสังคม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงการจัดการน้ำท่วมในอุบลราชธานีว่า ความถี่ของน้ำท่วมเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ 5 ปีท่วม 1 ครั้ง แต่กลายเป็น 3-4 ปีครั้ง ในปี 2567 ที่ผ่านมา ตนมองว่าที่น้ำไม่ท่วมมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าภาครัฐเอาจริงจากการที่เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศว่า น้ำต้องไม่ท่วมอุบลฯ ในแง่หนึ่งอาจเรียกได้ว่า อุบลราชธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมือง หน่วยงานภาครัฐหลายส่วน เช่น กรมชลประทาน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ มาจัดการน้ำร่วมกัน และมีการสร้างคันกั้นน้ำชั่วคราว เพื่อไม่ให้น้ำไหลทะลักมาที่จุดฟันหลอ ทำให้รับปริมาณน้ำได้มากขึ้น หรือเหตุที่น้ำไม่ท่วมปี 2567 อาจจะเป็นเพราะเราผลักให้จังหวัดอื่นท่วมแทนหรือไม่ กั้นน้ำไว้ไม่ให้มาที่อุบลฯ น้ำก็จะท่วมน้อย

จากการทำงานในประเด็นนี้มาหลายปี สุรสมตั้งข้อสังเกตว่า มีการถอดบทเรียนจากน้ำท่วมบ่อยมาก การนั่งคุยอย่างเดียวอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่ต้องการทางออกระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้น ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหายั่งยืน ซึ่งต้องมาคิดต่อว่ายั่งยืนของใคร โจทย์ของชาวบ้านก็อาจจะคิดว่า น้ำท่วมได้ ขอให้อยู่ได้ แต่หน่วยงานราชการอาจจะบอกว่า ต้องให้น้ำไม่ท่วม ดังนั้นจะมีเขื่อนหรือไม่มีเขื่อน ไม่ใช่แค่ว่าเอาน้ำหรือไม่เอาน้ำ คำถามที่ชาวบ้านต้องการเสนอคือ ต่อให้มีน้ำ ชาวบ้านจะอยู่อย่างไร

สุรสมกล่าวว่า แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ตอนนี้เราต้องมาเพิ่มน้ำหนักให้กับภัยที่เกิดจากมนุษย์ หรือปัญหาสังคมที่เราจัดการไม่ดี แต่ตอนนี้น้ำท่วมกลายเป็นเรื่องชดเชยและเยียวยา ซึ่งไม่สามารถทำได้เท่าที่เราสูญเสียไป เช่น รายได้ อาชีพ

นอกจากนี้ อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่เสี่ยงจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่สุดในประเทศไทยด้านภัยแล้ง ปัญหาของอุบลราชธานีเป็นความมั่นคงทางอาหาร เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำไมเราไม่สนใจเรื่องนี้

โครงการสร้างเขื่อนภูงอยที่อาจจะเกิดขึ้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า เรามักมีฉากทัศน์ที่สวยงาม เช่น เขื่อนปากมูล เราคิดว่าจะมีปลามากระโจน แต่มันไม่เป็นความจริง ตนเองเห็นว่า เราควรคิดฉากทัศน์ในแง่ลบที่สุดก่อนดีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีโครงการสร้างเขื่อนบ้านกุ่ม แต่มีการศึกษาว่าจะส่งผลให้มีน้ำท่วมสามพันโบกที่เป็นแหล่งเรียนรู้ธรณีวิทยาและแหล่งท่องเที่ยว โครงการนี้จึงล้มเลิกไป

ตอนนี้ก็มาเป็นโครงการเขื่อนภูงอย ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า น้ำอาจจะล้นจากเขื่อนมาที่จังหวัดอุบลราชธานีได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะท่วมถึงไหน มากน้อยอย่างไร ต้องให้วิศวกรมาอธิบายให้ชาวบ้านฟังและตัดสินใจว่าเชื่อได้หรือไม่ และคำถามคือชาวบ้านจะมีเสียงในการจัดการเรื่องนี้หรือไม่

หากถามว่า ชาวอุบลฯ หยุดเขื่อนภูงอยได้หรือไม่ ตนคิดว่าทำได้ เพราะที่ผ่านมาทำสำเร็จได้ในการคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เขื่อนสิรินธรมาแล้ว

ในการสร้างเขื่อนภูงอย ตนเองมีคำถามว่า เขื่อนมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนสำหรับคนอุบลฯ นิคมอุตสาหกรรมอุบลฯ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟจากเขื่อนเสมอไป มันก็ไม่มีความจำเป็น ไฟสำรองตอนนี้ก็เกินมากจนเกินพอดี เราอย่าคิดว่าเราเป็นแค่คนธรรมดา แต่จริงๆ เรามีสิทธิในฐานะที่จ่ายค่าไฟฟ้าบอกว่า ไม่ต้องการสร้างเขื่อนได้หรือไม่

“คำถามคือ เราในฐานะผู้บริโภคที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนทางอ้อมผ่านการจ่ายค่าไฟฟ้า เรามีสิทธิไหมที่จะบอกได้ว่า เราไม่ต้องการไฟจากการสร้างเขื่อน แต่เอาจากพลังงานทางเลือกอื่น”

สุรสมเสนอว่า ควรจะเปิดข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเห็นว่าการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ถ้ามีการเปิดเผยว่า จะมีการท่วมแก่งตะนะจริง ประชาชนก็จะได้หาข้อมูลและตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไร

จารุณี อนุพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และทีม #Saveubon กล่าวว่า ตนเองอยู่อุบลฯ มาตั้งแต่เกิดก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงว่าจากเดิมที่เคยท่วม 17 ปีหนหนึ่ง 7 ปี หนหนึ่ง จนตอนนี้กลายเป็นว่าเป็นการท่วมปกติไปแล้ว จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2562 ถึง 2565 พบว่ามีการจัดการที่ดีขึ้น โดยเมื่อปี 2562 ตนเองได้ร่วมกับคนอื่นๆ ฟอร์มทีมขึ้นมาเป็น #Saveubon คอยปักหมุดจุดน้ำท่วมในกูเกิลแมพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเฝ้าระวังและเช็กจุดสัญจรได้ จัดการการเดินทาง รวมถึงจุดพักพิง ผู้ป่วยติดเตียง ต่อมาในปี 2565 ก็มีการสร้าง super openchat โดย Ubon Connect

จารุณี กล่าวว่า จากหัวข้อเสวนา “คนอุบลเอาบ่?” อยากตอบคำถามด้วยคำถามว่า “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” เมื่อได้ยินว่าอาจจะมีโครงการเขื่อนภูงอย ก็ใจไม่ค่อยดีเล็กน้อย จำได้ว่า 30 ปีก่อนเคยไปร่วมลงชื่อไม่เอาเขื่อนปากมูลแล้ว ตอนนี้ก็มีการสร้างเขื่อนอีกแล้ว ตนเองคาดว่าโซนที่เป็นลุ่มน้ำโขง พื้นที่ธรณีวิทยาต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

ถ้าเขื่อนภูงอยมา มีน้ำเท้อมา เราต้องมีข้อมูล ไม่อย่างนั้นจะวางแผนไม่ได้ ตนเองยังสงสัยว่าคนอุบลฯ เลือกได้หรือไม่ เราต้องการพลังงานเท่านี้จริงหรือไม่ ประเทศพัฒนาแล้ว มีการเก็บกักพลังงานมากเท่านี้หรือไม่ ตนเองไม่มีความมั่นใจจากข้อเสนอต่างๆ ว่าจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ จะหมดคำถามก็ต่อเมื่อทำได้จริง 

“ในฐานะคนสอนหนังสือ ถามว่าเด็กๆ รู้ข้อมูลเรื่องเขื่อนภูงอยหรือไม่ รู้หรือไม่ว่ามีสิ่งนี้อยู่ เราอาจจะไม่ได้ให้ข้อมูลจากฝั่งเดียว แต่ให้ข้อมูลหลายด้าน รวมถึงของภาครัฐ และฝึกให้เขาเป็นพลเมืองโลก ให้ชั่งใจ เพราะเขาก็จะอยู่ต่อในโลกนี้ ต้องเผชิญกับการตัดสินใจของคนลงทุน คนเซ็นสัญญา 29 ปี จะเจอกับอะไรบ้าง ภาครัฐก็ควรให้ข้อมูล ทำให้เขาได้คิดว่าต้องทำอย่างไร ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เรายังหวังว่าภาครัฐจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้”

บุญทัน เพ็งธรรม ประธานเครือข่ายอาสาชุมชนป้องกันภัยพิบัติจังหวัดอุบลราชธานี (อชปภ.) กล่าวว่า จากประสบการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา มองว่าการทำงานของภาครัฐประสานงานยังไม่ดีพอ ปี 2562 ซึ่งเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ ชาวบ้านขนของไม่ทัน ต่อมาปี 2565 หน่วยงานรัฐประกาศว่าไม่เท่ากับปี 2562 ชาวบ้านจึงรับมือตามระดับน้ำในปี 2562 แต่ปรากฏว่าน้ำมามากกว่าปี 2565 ส่งผลให้การอพยพชาวบ้านก็ทำได้ไม่ทัน หน่วยงานรัฐแจ้งไม่ชัดเจน ทั้งที่ชุมชนเข้มแข็ง มีการซ้อมเหตุภัยพิบัติต่างๆ ต่างคนต่างทำ ชาวบ้านอยู่ที่เดิม ถึงชาวบ้านจะเตรียมตัวแค่ไหน ถ้าหน่วยงานไม่ประสานงาน ชาวบ้านก็ต้องรับมือเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามในปี 2567 ที่อุบลราชธานีไม่โดนพายุเต็มที่ ก็มีหน่วยงานลงพื้นที่ มีการเตรียมเครื่องสูบน้ำ ต่างจากอดีตที่น้ำท่วมมาแล้วค่อยเอาเครื่องสูบน้ำมา

แม้เราจะห้ามฝนฟ้าอากาศไม่ได้ แต่หน่วยงานจะมีมาตรการบริหารจัดการอย่างไรให้ชาวบ้านอยู่กับน้ำได้ พักหลังที่มีภัยรุนแรง มีความเสียหายมากขึ้น เส้นทางน้ำไม่เหมือนเดิม มีเขื่อนกั้น น้ำเอ่อ ท่วมนาน แต่ก่อนท่วมไม่เกิน 1 เดือน

ถ้ามีเขื่อนภูงอยมาคิดว่าน้ำจะท่วมกว่าเดิม เพราะว่าปกติมีแต่ปากมูลก็ท่วมทุกปี น้ำไม่มีทางออก ชาวบ้านก็จะจนกว่าเดิม ลูกหลานที่เกิดมาอยู่ในพื้นที่ที่พ่อแม่อยู่ ตนเองจะอยู่อย่างไร

“ตอนน้ำท่วม เราต้องย้ายที่อยู่ แต่พอน้ำลด เรายังต้องจ่ายค่าไฟ ไม่รู้เขาเอาอะไรไปคิด เป็นอย่างนี้ทุกปี 

เราไปขอลดหย่อนไม่ได้ ได้แต่ขอผ่อนจ่าย ทั้งประปา ไฟฟ้า ประชาชนที่ถูกน้ำท่วมก็ยังต้องจ่าย เป็นหนี้สินอยู่แล้ว ยิ่งมีเขื่อนมา ประชาชนยิ่งหากินยาก ลืมตาอ้าปากไม่ได้”

ข่าวยอดนิยม

ภาคประชาชนจัดเวทีเสวนาคู่ขนานวัน Earth Hour เปิดโครงสร้างปัญหาค่าไฟไม่แฟร์ และชวนปิดสวิตช์ตัวการทำค่าไฟแพง
ชาวบ้านตามุยประกอบพิธีเชิงสัญลักษณ์ ปกป้องน้ำโขง-ประกาศไม่เอาเขื่อนอีกแล้ว
ประชาชนควรมีส่วนร่วมในแผน PDP จากระดับพื้นที่ ย้ำคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วย

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

[ชุดข้อมูล] 17 ปี การปรับค่าไฟฟ้ากับหนี้ กฟผ.

ข้อมูลประกอบด้วยประมาณการค่า Ft สำหรับใช้เรียกเก็บในบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2551 - พฤษภาคม 2568 จากสูตรการคำนวณของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), ค่า Ft ที่ใช้เรียกเก็บจริงตามเอกสารเผยแพร่ ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), หนี้ กฟผ. จากการรับภาระส่วนต่างของค่า Ft

ค่าไฟลด แต่หนี้เพิ่ม: การลดค่าไฟที่ไม่ได้ปรับโครงสร้างพลังงานแต่ให้ กฟผ. แบกหนี้ต่อ 

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

ข้อสังเกตจาก JustPow ต่อคำชี้แจงของ สนพ. กรณีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

จากการที่ภาครัฐมีการลงนามรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก  5,200 เมกะวัตต์ เพิ่มอีก 3 สัญญา ในวันที่

รมว.พลังงานแจง ไม่มีอำนาจชะลอเซ็นสัญญาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบแรก

“ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ” ศศิกานต์​ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำชี้แจงของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในประเด็นเรื่องโครงการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 จากกรณีโครงการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าในส่วนของโครงการที่ยังไม่ได้ลงนามในวันที่ 19 เมษายน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น โดยก่อนหน้านี้ มีโครงการที่ กฟผ. เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ และมีการเปิดเผยว่าในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีการลงนามเพิ่มอีก 3 สัญญา โดยยังเหลือที่ยังไม่ได้ลงนามอีก 16 สัญญา โดยกล่าวว่าที่ต้องลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้านั้นมาจากการที่มีเงื่อนไขกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย […]