ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine ยังสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ทั้งการนำเอาไทม์ไลน์จริงของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2512 มาเป็นตัวเล่าเรื่องที่สอดแทรกประเด็นจากประวัติศาสตร์และการอ้างอิงเรื่องราวจริงที่ถูกหยิบขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเป็นเรื่องเล่าในซีรีส์นี้ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวอ้างถึง ‘สภาพัฒน์’ หรือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (ชื่อในขณะนั้น) องค์กรที่มีอยู่จริงในประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านตัวละครหลักอย่าง ‘ตฤณ’ ที่ทำงานที่สภาพัฒน์
การกล่าวถึงประเด็นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมของสังคมไทย ผ่านการสร้างโรงไฟฟ้าหรือในเรื่องใช้ชื่อว่าโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสง ไปจนถึงการร้อยเรียงเชื่อมโยงไปยังประเด็นการเมืองในสังคมไทยในช่วงนั้นอย่างเรื่องคอมมิวนิสต์ หรือขบวนการนักศึกษาที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่งเราทราบกันดีว่าอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็จะเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และต่อมากับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19
JustPow จึงอยากจะชวนมาแกะรอยประวัติศาสตร์ในประเด็นด้านพลังงานจากซีรีส์เรื่อง Shine ว่าโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงแท้จริงแล้วคือโครงการอะไรในประวัติศาสตร์ แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวอะไรกับการสร้างโรงไฟฟ้า
โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงแท้จริงแล้วคือโครงการอะไรในประวัติศาสตร์?
ในซีรีส์เรื่อง Shine มีปมของเรื่องคือการสร้าง ‘โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง’ อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ประเทศไทยเริ่มมีการใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 และมีโรงไฟฟ้าโรงแรกคือโรงไฟฟ้าวัดเลียบในปี 2432 ซึ่งใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า หลังจากนั้นช่วงหลังยุค 2500s เป็นต้นมา เราก็เริ่มมีทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันในการปั่นไฟ เช่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ในปี 2504 โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหิน เช่น โรงไฟฟ้ากระบี่ในปี 2507 เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างเขื่อน โดยมีเขื่อนยันฮีหรือเขื่อนภูมิพลเป็นเขื่อนแรกที่สร้างเสร็จในปี 2507 จากนั้นก็ตามมาด้วยเขื่อนอุบลรัตน์ในปี 2509 เรียกได้ว่าในช่วงแรกๆ นั้นไทยใช้ไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทั้งพลังน้ำ และเชื้อเพลิงอย่างถ่านหิน และน้ำมันเป็นหลัก
กลับมาที่ ‘โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง’ หากย้อนไปดูในช่วงเวลาที่ซีรีส์ที่กล่าวว่าเป็นช่วงเวลาปี พ.ศ. 2512 โดยในช่วงเวลานั้นประเทศไทยกำลังสร้างโรงไฟฟ้าอีกแห่งนั้นก็คือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ ที่สมุทรปราการ ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง (สร้างเสร็จในปี 2514) หากจะเปรียบเทียบเฉพาะโรงไฟฟ้าที่สร้างในช่วงปีนั้นในซีรีส์กับประวัติศาสตร์จริง ‘โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง’ ก็อาจจะเป็นโรงไฟฟ้าพระนครใต้ก็เป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน หากเราพิจารณาเนื้อเรื่องและข้อมูลอื่นๆ ในเรื่องและในประวัติศาสตร์ประกอบกันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ‘โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง’ อาจจะไม่ใช่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โดยสิ่งที่นำมาประกอบในการพิจารณาก็คือ
1. ในฉากการประท้วงของนักศึกษามีป้ายที่เขียนว่า ‘ไม่เอาเขื่อน’ ซึ่งเขื่อนก็คือโรงไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แต่เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
2. ในฉากที่ตฤณ นักเศรษฐศาสตร์หนุ่ม จากสภาพัฒน์ฯ กล่าวถึงโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงในมิติเศรษฐศาสตร์ มีการกล่าวอ้างว่าตฤณต้องการลงพื้นที่จะได้กลับมาเขียนรายงานในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 ให้ถูกต้อง ซึ่งแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 เป็นการวางแผนในช่วงปี 2515-2519 อันเป็นช่วงเวลาที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้ สร้างเสร็จไปแล้ว และแผนการสร้างโรงไฟฟ้าพระนครใต้นั้นอยู่ในแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 (ปี 2510-2514)
3. ประเด็นสำคัญที่นำมาพิจารณาประกอบเพิ่มเติมก็คือเนื้อเรื่อง ที่กล่าวถึงการเกิดขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงที่ต้องมีการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ การลุกขึ้นมาต่อต้านโครงการของชาวบ้านและนักศึกษา อิทธิพลของทหาร การสังหารผู้นำหมู่บ้าน เหตุการณ์การปราบปราม ไปจนถึงประเด็นเรื่องคอมมิวนิสต์และรัสเซีย ซึ่งหากพิจารณาจากประเด็นเหล่านี้ตามบริบทประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นจะพบว่าโครงการที่น่าจะเข้าเค้าว่าเป็นแรงบันดาลใจของโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงในซีรีส์ อาจจะเป็นโครงการ ‘เขื่อน’ นั่นเอง
เขื่อนไหนที่อาจเป็นแรงบันดาลใจของโรงไฟฟ้าห้วยคำแสง?
หากพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงของไทยจะพบว่า ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น มีโครงการก่อสร้างเขื่อนมากมาย ทั้ง เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม) จ.ชัยภูมิ ที่เริ่มก่อสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2513 เขื่อนห้วยหลวง จ. อุดรธานี เริ่มก่อสร้างโครงการในปี พ.ศ. 2513 และอีกหนึ่งโครงการที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่อยู่บนลำน้ำโขงกั้นระหว่างไทย-ลาว ห่างจากหนองคาย 20 กม. และเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับประเทศไทยนั่นก็คือเขื่อนผามอง ที่เริ่มมีการทำการสำรวจระยะแรกมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2504 เรียกว่าแนวคิดการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงมีจุดเริ่มต้นมาจากเขื่อนผามองนี่เอง (แม้ว่าในที่สุดโครงการนี้จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม)
จากนั้นเมื่อพิจารณาต่อไปจะพบว่าเขื่อนน้ำพรมนั้น ไม่ได้มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงที่พอจะเทียบเคียงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในซีรีส์ หรืออาจจะมีแต่เนื้อหาที่สืบค้นได้มีน้อยมากจนอาจทำให้เขื่อนน้ำพรมไม่ใช่เบื้องหลังเรื่องราวโรงไฟฟ้าห้วยคำแสง ในขณะที่เขื่อนห้วยหลวงและเขื่อนผามองนั้น กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความคล้ายคลึงกับโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงอย่างมาก
เริ่มต้นจากเขื่อนผามอง แนวคิดการสร้างเขื่อนผามองเป็นของหน่วยงานพัฒนาที่ดิน สหรัฐอเมริกา (U.S. Bureau of Reclamation: U.S.B.R หรือ BuRec) หน่วยงานที่เคยสร้างเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มาแล้ว สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการสร้างเขื่อนในประเทศไทยเพราะต้องการใช้ไทยเป็นฐานทัพในช่วงสงครามอินโดจีน เพื่อต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิสังคมนิยมที่นำโดยสหภาพโซเวียต การที่สหรัฐฯ สนับสนุนทางด้านเงินทุนในการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ อย่าง เขื่อนในภาคอีสานก็เพราะต้องการใช้น้ำและกระแสไฟฟ้าในการสร้างฐานทัพ เช่น กระแสไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อนน้ำพอง ก็นำมาใช้ในการก่อสร้างฐานทัพสหรัฐฯ ที่จ. อุบลราชธานี ซึ่งโครงการเขื่อนผามองนั้นได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากรัฐบาลและทหารไทย
ในขณะที่สภาพัฒน์ ก็เตรียมรับโครงการนี้ไว้ โดยปรากฏคำสัมภาษณ์ของนายเสริม วินิจฉัยกุล ประธานกรรมการบริหารสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยกล่าวว่า “สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติได้ให้ความสนใจต่อโครงการเขื่อนผามอง เพราะเป็นโครงการที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยในด้านต่างๆ…” นอกจากนี้หากใครได้ดูซีรีส์ก็จะพบว่า ตฤณ นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มจากสภาพัฒน์กล่าวไว้ว่าเขาต้องการจะลงพื้นที่ที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงจะได้นำข้อมูลไปเรียนในรายงานแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 ซึ่งเมื่ออ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 ในส่วนของการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าก็จะพบว่า มีประเด็นเรื่องแนวความคิดการพัฒนาโครงการเขื่อนผามองอยู่ในแผน
การสร้างเขื่อนทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาประท้วงเพราะต้องถูกอพยพย้ายถิ่นฐานแต่ก็ทำได้ยากเนื่องด้วยอยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ ชาวบ้านที่ออกมาคัดค้านเขื่อนผามองจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โดยในการคัดค้านเขื่อนผามองนั้นมีนักศึกษาที่เป็นพันธมิตรสำคัญที่เข้าไปหนุนการต่อสู้ของชาวบ้าน อย่างไรก็ตามนักศึกษาเหล่านี้มักถูกกล่าวหาว่าเป็นญวนอพยพ และปัญญาชน นักวิชาการที่เข้ารวมคัดค้านเขื่อนผามองก็จะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าพวกรัสเซีย ซึ่งน่าสนใจว่าในซีรีส์ Shine นั้นพ่อของวิกเตอร์ บุญเทิดทูน แกนนำนักศึกษาที่ต่อต้านโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงนั้นก็เป็นลูกครึ่งรัสเซีย โดยมีพ่อเป็นชาวรัสเซียที่เขียนหนังสือเรื่อง ‘The (In)visible Cage : Stalin’s Reign of Terror Exposed
มีการคาดการณ์กันว่าโครงการสร้างเขื่อนผามองจะทำให้เกิดการอพยพของชาวบ้านกว่า 500,000 คน ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีองค์กรชื่อ Quaker ได้เข้ามาเคลื่อนไหวและตั้งคำถามถึงแนวทางในการพัฒนาจากการสร้างเขื่อนผามอง โดยทำงานร่วมกับปัญญาชนไทยอย่างป๋วย อึ้งภากรณ์ เสน่ห์ จามริก และ ส. ศิวรักษ์ ซึ่งผู้เขียนบทซีรีส์เรื่อง Shine ให้สัมภาษณ์ไว้ว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจของตัวละครตฤณก็คือ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในไทม์ไลน์ของการจะสร้างเขื่อนผามองก็คือ การจัดการเสวนา “ผามอง, การตั้งรกรากใหม่และการเคลื่อนย้ายประชากรจากบริเวณเขื่อนผามอง ปัญหาทางสังคมเนื่องจากประยุกต์วิทยา” ที่เขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2518
ซึ่งทำให้หนังสือพิมพ์ดาวสยามนำภาพการเสวนานี้ไปลงตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2519 โดยอ้างว่าเป็นการชุมนุมร่วมกับคอมนิวนิสต์รัสเซีย และจากงานเสวนาครั้งนี้ยังทำให้เกิดผลงานชิ้นประวัติศาสตร์อย่างภาพยนตร์เรื่อง ‘ทองปาน’ ภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่อ้างอิงมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจากงานเสวนาครั้งนั้น ที่ฉายให้เห็นถึงภาพการสร้างเขื่อนในนามแห่งการพัฒนาและความเหลื่อมล้ำของชีวิตผู้ยากไร้อย่างทองปานที่ต้องจบชีวิตลงในที่สุด
แม้หากพิจารณาจากช่วงเวลาในซีรีส์และช่วงเวลาจริงในประวัติศาสตร์ของการพัฒนาโครงการเขื่อนผามองจะพบว่าคลาดเคลื่อนกันอยู่บ้าง แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าโครงการเขื่อนผามองมีความละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์ Shine อยู่ไม่น้อย
เช่นเดียวกันกับโครงการเขื่อนห้วยหลวง จ. อุดรธานี ที่มีความคล้ายคลึงกับโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงตั้งแต่ชื่อโครงการเลยทีเดียว การสร้างเขื่อนห้วยหลวงนอกจากวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการแล้วยังพบว่าสร้างขึ้นเพื่อนำน้ำไปป้อนให้กับฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานี เขื่อนห้วยหลวงจึงเป็นอีกหนึ่งเขื่อนที่ถูกสร้างภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ ที่เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยในช่วงเวลานั้น และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากรัฐบาลและทหารไทย
ความน่าสนใจของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์การต่อสู้คัดค้านเขื่อนห้วยหลวงนั้น คล้ายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ Shine ในหลายๆ เหตุการณ์สำคัญ ทั้งการยึดที่ดินทำกิน จากเอกสารสัมมนาเรื่อง “30 ปีผามองและทองปาน ประวัติศาสตร์การเมืองของการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงในยุคสงครามเย็น’ โดย ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ ให้ข้อมูลว่า การสร้างเขื่อนห้วยหลวงทำให้ชาวบ้านต้องสูญเสียที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยกว่า 20,000 ไร่ และต้องอพยพชาวบ้านถึง 14 หมู่บ้าน จึงทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นคัดค้านโดยวิธีการต่างๆ รวมทั้งการเดินขบวนในกรุงเทพฯ หลายครั้งโดยการสนับสนุนของนักศึกษา
เหตุการณ์ที่สำคัญที่ปรากฏในซีรีส์และเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์การต่อสู่คัดค้านเขื่อนห้วยหลวงก็คือ การสังหารผู้นำหมู่บ้าน นายโหง่น สาววงศ์ ซึ่งความขัดแย้งนี้นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญคือ ‘ยุทธการหนองบัวบาน’ ซึ่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่ก่อตั้งขึ้นจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ เข้าทำการปราบปรามชาวบ้านและผู้ที่คัดค้านเขื่อนด้วยกำลังและอาวุธ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ในขณะที่ส่วนหนึ่งที่รอดชีวิตก็หนีเข้าต่อสู้ในป่าและหันไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์ Shine นั้นก็แทบจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทั้งเรื่องผู้ใหญ่บ้านถูกสังหารและมีการปราบปรามผู้ต่อต้านเขื่อน โดยในซีรีส์มีการสั่งการว่า “เราจะส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้าไปจุดไฟข้างใน”
หรืออาจเป็นไปได้ว่า ‘ห้วยคำแสง’ ในซีรีส์ Shine ก็คือ ‘เขื่อนห้วยหลวง’ ใน จ.อุดรธานี
ตฤณอาจเป็นใครได้บ้างในประวัติศาสตร์ แล้วทำไมถึงเลือกทำงานที่สภาพัฒน์?

ซีรีส์ Shine เปิดตัวด้วยตัวละครอย่างตฤณ นักเศรษฐศาสตร์หนุ่ม เรียนจบจากฝรั่งเศส ได้รับการทาบทามให้ไปทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ตฤณกลับเลือกมาทำงานที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ พร้อมกับการประเมินโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงในมุมเศรษฐศาสตร์
จากรายการ “บัว-แพร-ป๊อก” เมาท์หมดเปลือก “Shine The Series” ตอบทุกข้อสงสัยจากปากผู้เขียนบท!’ ของช่องศิลปะวัฒนธรรม ผู้เขียนบทกล่าวว่า แรงบันดาลใจของตัวละครตัวละครตฤณ มาจากบุคลิกของดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และดร. มีชัย วีระไวทยะ ที่เป็นคนหนุ่ม เรียนจบมาจากเมืองนอก และมีความตั้งใจที่จะกลับมาทำงานในเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งจากเรื่องราวที่ ตฤณเป็นทั้งนักเศรษฐศาสตร์ เป็นทั้งอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย และเข้าไปพัวพันกับขบวนการนักศึกษาก็พอจะเห็นเค้าความคล้ายคลึงระหว่างตฤณกับดร.ป๋วยได้
แต่ในขณะเดียวกัน หากจะพิจารณาจากไทม์ไลน์ในช่วงเดียวกันกับที่เนื้อเรื่องซีรีส์วางไว้ ซึ่งก็คือปี 2512 จะพบว่าตามประวัติศาสตร์ มีนักเรียนนอกคนหนึ่งที่เรียนจบจากฝรั่งเศสและกลับมาทำงานที่สภาพัฒน์ฯ จริงๆ ในปี 2512 นั่นก็คือ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
จากบทความ ‘บันทึกภาคประชาชน : สุเมธ ตันติเวชกุล ถอดบทเรียน 40 ปีจากสงครามกองโจรในป่ามาสู่ในเมือง’ ที่เผยแพร่ใน Thaipublica กล่าวว่า ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เรียนจบปริญญาเอกจากฝรั่งเศส และกลับมาเมืองไทยในปีพ.ศ. 2512 โดยทีแรกกะจะทำงานที่กระทรวงต่างประเทศ แต่สุดท้ายแล้วก็ไปทำงานที่สภาพัฒน์ฯ ซึ่งคล้ายกับตฤณในซีรีส์ Shine เพียงแต่ตฤณเปลี่ยนเป็นธนาคารแห่งประเทศไทยสู่สภาพัฒน์ นอกจากนี้ในซีรีส์ ตฤณ เป็นหลานนายทหารใหญ่ ในขณะที่ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ก็มีบิดา คือ อารีย์ ตันติเวชกุล ที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีที่ไม่ประจำกระทรวง และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสหกรณ์ ในรัฐบาลของพลโท ถนอม กิตติขจร
ไม่เพียงแค่นั้น ฉากหนึ่งในซีรีส์ Shine เมื่อตฤณประสบกับเหตุการณ์การประท้วงในไทย จึงทำให้เกิดภาพ Flash Back ย้อนไปยังเหตุการณ์การประท้วงที่ฝรั่งเศสในช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่นั่น ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ก็เคยเล่าเรื่องราวงนี้ไว้เช่นเดียวกันว่า ในปีพ.ศ. 2511 ก่อนที่เรียนจบปริญญาเอก ก็เกิดเหตุการณ์นักเรียนในกรุงปารีสลุกขึ้นมาประท้วง มีการเผาบ้านเมือง ลงถนน จนก่อให้เกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก็จะคล้ายคลึงกับการ Flash Back ของตฤณในเรื่อง อีกทั้งงานที่ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล รับผิดชอบเมื่อครั้งที่ทำงานอยู่สภาพัฒน์นั้นเกี่ยวข้องกับประเด็นความมั่นคงและคอมมิวนิสต์เป็นหลัก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกบรรจุอยู่ในซีรีส์เช่นเดียวกัน
สภาพัฒน์ฯ เกี่ยวอะไรกับการสร้างโรงไฟฟ้า?
ปัจจุบันเรารู้กันดีว่า การจะสร้างโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนหรือโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงอื่นๆ นั้น มาจากแผนที่เรียกว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) รับผิดชอบโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ภายใต้กระทรวงพลังงาน ซึ่งจะเป็นแผนที่จะกำหนดว่าประเทศไทยจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าอีกเท่าไร ประเภทใด สร้างที่ไหน ในปีไหนบ้างเพื่อให้สอดคล้องการใช้ไฟฟ้าและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

แต่หากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่าตั้งแต่ที่ประเทศไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้ เรามีหน่วยงานที่เรียกว่า ‘คณะกรรมการไฟฟ้ากำลังน้ำ’ ในปี 2481 ‘คณะกรรมการพิจารณาสร้างโรงไฟฟ้าทั่วราชอาณาจักร’ ในปีพ.ศ. 2494 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น ‘การพลังงานแห่งชาติ’ ในปี พ.ศ. 2496 โดยมีคณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า ‘คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ’ เป็นผู้วางนโยบายและพิจารณาโครงการต่างๆ อันเกี่ยวกับพลังงาน จากนั้นในปี 2514 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น ‘สำนักงานพลังงานแห่งชาติ’ โดยย้ายจากกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากนั้นในปี 2535 เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น ‘กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน’ สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน และในปี 2545 เปลี่ยนชื่อเป็น ‘กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน’ สังกัดกระทรวงพลังงาน มาจนถึงปัจจุบันนี้
ในอดีต การพัฒนาไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ จึงมีการจัดตั้งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ (ชื่อ ณ เวลานั้น) ในปี 2493 เพื่อจัดทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเปรียบเสมือนหน่วยงานกลาง และเป็นเข็มทิศในการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ 2504-2509) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2504 ซึ่งหนึ่งในแผนการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติก็คือ การพลังงาน เพราะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยสนับสนุนให้มีการพัฒนาการเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรม ธุรกิจและบริการต่างๆ ให้สามารถขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว
โดยในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2504-2506) กล่าวถึงแนวความคิดการสร้างโรงไฟฟ้าไว้ดังนี้
1. โครงการโรงไฟฟ้ายันฮี หรือเขื่อนยันฮี (เขื่อนภูมิพล) ให้เสร็จภายในปี 2506 (เสร็จจริงและจำหน่ายไฟฟ้าในปี 2507)
2. โครงการไฟฟ้าลิกไนท์ที่กระบี่
3. โครงการแก่งเรียง
4. โครงการพัฒนาการลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง
5. โครงการสำรวจแหล่งพลังงานภาคใต้
6. โครงการสำรวจแหล่งพลังงานเบื้องต้นน้ำแม่ขาน อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
ในขณะที่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ซึ่งเป็นแผนที่ตัวละครอย่างตฤณ นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มที่ทำงานที่สภาพัฒน์ กล่าวถึงว่าจะลงพื้นที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงเพื่อที่จะได้นำไปเขียนในรายงานแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 พบว่า กล่าวถึงการดำนินงานก่อสร้างแหล่งผลิตตามโครงการต่อเนื่องจากแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 ที่กำหนดจะแล้วเสร็จในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 ดังนี้
1. เขื่อนสิริกิติ์ระยะแรก
2. เขื่อนน้ำพรม
3. โรงไฟฟ้าพระนครใต้เครื่องที่ 2 และ 3
4. โรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานี
จะเห็นได้ว่าในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 ในส่วนของไฟฟ้า มุ่งเน้นการกระจายไปยังพื้นที่ห่างไกล มีการระบุให้ไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รัฐต้องมอบให้แก่ประชาชน มีการกำหนดการพัฒนาสายส่งและระบบไฟฟ้าในชนบท สำรวจแม่น้ำในภาคอีสานและภาคใต้เพื่อก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า มีการก่อสร้างเขื่อนใหม่และโครงการต่อเนื่องจากแผนเดิมรวม 34 โครงการ การกระจายการพัฒนาไปยังชนบทนั้นมาพร้อมกับการสำรวจและสร้างเขื่อน เพื่อให้ชนบทเข้าถึงไฟฟ้าได้มากขึ้น
ส่วนโครงการ ใหม่ที่มีการกล่าวถึงในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 คือ
1. เขื่อนแควใหญ่ ระยะแรก
2. เขื่อนปัตตานี
3. เขื่อนสิริกิติ์ ระยะที่ 2
4. เขื่อนสิรินทร ระยะที่ 2
5. การติดตั้งเครื่องไอน้ำเครื่องที่ 4 ที่โรงไฟฟ้าพระนครใต้
6. โรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 1
นอกจากนี้ยังพบว่าในส่วนของโครงการพัฒนาพลังงานที่สำคัญอื่นๆ ยังมีการกล่าวถึงโครงการผามอง ซึ่งเป็นการสำรวจความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและวิศกรรมระยะที่ 3 คล้ายคลึงกับที่ตฤณกล่าวถึงในซีรีส์ในประเด็นเรื่องความเหมาะสมทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสง ที่กล่าวว่า “ห้วยคำแสงมีอัตราความยากจนอยู่ที่ 35.7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศอยู่ที่ 22.1% Infrastructure Accessibility Index อยู่ที่ 0.46 ต่ำว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคอยู่ที่ 0.61” ซึ่งนำไปสู่บทสรุปว่าห้วยคำแสงเหมาะที่จะสร้างโรงผลิตไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ในปี 2512 เกิดการควบรวมกันระหว่างหน่วยงานผู้ผลิตไฟฟ้า 3 แห่งคือ การลิกไนต์แห่งประเทศไทย การไฟฟ้ายันฮี และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วสถาปนาเป็น ‘การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)’ ในขณะที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการพลังงานแห่งชาติ ยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนจัดหาและก่อสร้างแหล่งผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศตามกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจของแผนพัฒนาฯ ของสภาพัฒน์ อยู่
ถึงอย่างนั้น จากการที่สภาพัฒน์ฯ เคยเป็นผู้กำหนดกรอบแนวนโยบายด้าน ‘การพลังงาน’ มาตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เมื่อเกิดการก่อตั้ง กฟผ. แล้ว ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 แผนพลังงานที่สภาพัฒน์ฯ เคยเป็นผู้กำหนดกรอบแนวนโยบายหลักก็กลายมาเป็นเพียงแผนย่อยในแผนหลักอย่าง ‘การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรหลักทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม’ โดยเป็นเพียงการวิเคราะห์แนวโน้มและการพัฒนาในอนาคตอย่างกว้างๆ และเริ่มเน้นหนักไปที่ประเด็นเรื่องน้ำมันมากกว่าจะเป็นไฟฟ้า
จนในปีพ.ศ. 2530 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จึงได้จัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า โดยใช้ชื่อว่า ‘แผนพัฒนาผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.’ และเปลี่ยนเป็นชื่อ ‘แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย’ หรือที่รู้จักกันในนามแผน PDP ในปี 2545 ซึ่งมี สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในปี 2545 เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำ ตั้งแต่แผน PDP2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ในปี 2555 เป็นต้นมา
ปัจจุบันประเทศไทยใช้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 โดยก่อนหน้านี้ในปี 2567 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน ได้จัดทำร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024) และมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567 ซึ่งแผนดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากทั้งเนื้อหาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันและกระบวนการการจัดทำและเปิดรับฟังความคิดเห็นที่ไม่โปร่งใส ซึ่งล่าสุดมีคำสั่งให้ยกเลิก ร่าง PDP2024 และให้จัดทำขึ้นใหม่ โดยคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ต้นปีหน้า เป็นแผน PDP2026
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า หากตฤณ เข้ามาทำงานที่สภาพัฒน์ช้าไปอีกนิด เขาก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงก็เป็นได้ เนื่องจากหลังจากนั้นไม่นาน สภาพัฒน์ฯ เองก็ไม่ได้มีบทบาทในการกำหนดแผนการพัฒนาด้านพลังงานเท่ากับแผนในฉบับแรกๆ การกำหนดว่าประเทศไทยจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าอีกกี่โรง โรงประเภทไหน เชื้อเพลิงอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน แต่ละปีกี่โรง ได้ถูกโอนย้ายมาเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการพลังงานแห่งชาติ ก่อนจะกลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า หรือแผน PDP ในปัจจุบันนั่นเอง
จากทองปานถึงซีรีส์ Shine จากห้วยคำแสงถึงปากแบง : การต่อสู้ของคนตัวเล็กๆ กับอำนาจรัฐและนายทุน
แม้ซีรีส์ Shine จะเริ่มต้นซีรีส์ด้วยข้อความว่า “ซีรีส์นี้เป็นเพียงเหตุการณ์ที่สมมติขึ้นเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ องค์กร หรือเหตุการณ์จริง” แต่อย่างที่เรารู้ ทั้งการใช้ชื่อสภาพัฒน์โดยตรง การให้สัมภาษณ์ของทีมเขียนบทที่กล่าวว่านำเอาเรื่องราว ประวัติศาสตร์ บุคคลสำคัญ ที่เคยเกิดขึ้นมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบทซีรีส์เรื่องนี้ ก็ทำให้เห็นทั้งความกล้าหาญและประเด็นที่ซุกซ่อนอยู่ในซีรีส์ที่เป็นภาพสะท้อนสังคมการเมืองไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี

หนึ่งในนั้นก็คือประเด็นเรื่องขบวนการนักศึกษา ในปีพ.ศ. 2512 จากบทสัมภาษณ์ ‘คุยกับ ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ : ทุ่งใหญ่นเรศวร ชนวนรวมพลังนักศึกษา’ ใน 101 World ให้ข้อมูลว่า ในปีพ.ศ. 2512 เป็นปีที่เริ่มเห็นบทบาทของขบวนการนักศึกษาต่อการเคลื่อนไหวในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ทั้งจากเหตุการณ์แม่น้ำแม่กลองเน่าเสียจากกากอุตสาหกรรมน้ำตาล ส่งผลให้ต่อมาในช่วงปีพ.ศ. 2512-2516 นักศึกษามหาวิทยาลัยแทบทุกแห่งก่อตั้ง ‘ชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม’ และประเด็นทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมก็กลายมาเป็นประเด็นที่ขบวนการนักศึกษาให้ความสำคัญนอกเหนือจากประเด็นปัญหากรรมกรและชาวนา
จากนั้นในช่วงปีพ.ศ. 2515 ขบวนการนักศึกษาก็เริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นกับกรณีการคัดค้านเขื่อนผามอง เขื่อนห้วยหลวง อ่างเก็บน้ำมาบประชัน ที่พัทยา ไปจนถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่อ่าวไผ่ ชลบุรี โดยความเคลื่อนไหวเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การจับตาของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจเผด็จการ และบรรยากาศของสงครามเย็นที่มีการปะทะสังสรรค์กันระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์
โดยจะเห็นได้จากเนื้อเรื่องในซีรีส์ Shine ที่ทหารมีบทบาทสำคัญต่อเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก อำนาจรัฐถูกควบคุมโดยทหารซึ่งเชื่อมต่อไปยังนายทุน ทั้งนายทุนในประเทศที่เห็นได้จากป้ายประท้วงต่างๆ ของนักศึกษาในเรื่อง และสอดคล้องกันกับเหตุการณ์การประท้วงเขื่อนห้วยหลวงของนักศึกษาและชาวบ้าน ที่มีการเข้าไปบุกยึดที่ทำการของบริษัทที่ได้รับสัมปทานในการสร้างเขื่อนเพื่อต่อรองกับรัฐบาล
ในขณะเดียวกันนายทุนที่ว่าก็อาจจะหมายถึงนายทุนต่างประเทศก็เป็นไปได้ หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งฐานทัพในไทยในช่วงเวลานั้น และเป็นผู้สนับสนุนในการสร้างเขื่อนต่างๆ เพื่อที่จะได้นำเอาไฟฟ้าและน้ำไปใช้ในการสร้างฐานทัพ ซึ่งในซีรีส์มีตอนหนึ่งที่ป้ายประท้วงโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงเขียนว่า “อยากไปดวงจันทร์ก็เรื่องของมึง” ซึ่งเป็นข้อความที่มุ่งตรงไปยังสหรัฐฯ ตามบริบทของไทม์ไลน์ในช่วงนั้นที่สหรัฐฯ ส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ได้สำเร็จ และก็บ่งชี้ได้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงนั้นอาจเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ อย่างแน่นอน
โดยประเทศไทยในช่วงเวลานั้น โครงการการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ในแผนพัฒนาฉบับที่ 1 รัฐบาลได้รับความช่วยเหลือจากต่างประเทศทั้งสิ้นประมาณ 2,400 ล้านบาท และในแผนฉบับที่ 2 ยังเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเป็น 5,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าความช่วยเหลือส่วนใหญ่จะได้จากสหรัฐอเมริกา
สิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์ Shine แม้จะถูกขึ้นข้อความไว้ว่าเป็นเหตุการณ์สมมติ แต่จากข้อมูลทั้งหมดก็จะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง อาจจะเป็นเขื่อนผามอง หรือเขื่อนห้วยหลวง หรือแม้กระทั่งอ่างเก็บน้ำมาบประชัน ก็เป็นไปได้ ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ การตายของผู้ใหญ่บ้าน การตายของวิกเตอร์ บุญเทิดทูน ผู้นำนักศึกษาในการประท้วงโรงไฟฟ้าห้วยคำแสงในซีรีส์ Shine ก็คือภาพสะท้อนความจริงของการตายของนายโหง่น สาววงศ์ จากการต่อสู้คัดค้านเขื่อนห้วยหลวง หรือการตายของเมตตา (ล้วน) เหล่าอุดม ผู้นําการต่อต้านการสร้างเขื่อนมาบประชัน ทองปาน กับการสังเวยชีวิตที่แร้นแค้นจากการอพยพย้ายถิ่นเพราะเขื่อนอุบลรัตน์ และหากจะเขยิบเข้ามาใกล้กับปัจจุบันมากขึ้น ก็อย่างเช่น การตายของเจริญ วัดอักษร ผู้นำการคัดค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก
ประวัติศาสตร์การต่อสู้ไม่ได้จบเพียงแค่โรงไฟฟ้าห้วยคำแสง หรือในความเป็นจริงจะเป็นโรงไฟฟ้าหรือเขื่อนใดก็ตาม หลังจากนั้นยังมีชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านกับโครงการโรงไฟฟ้าอีกมากมาย ทั้งกรณีเขื่อนลำโดมน้อยหรือเขื่อนสิรินธรที่ จ.อุบลราชธานี รวมไปถึงเขื่อนปากมูล ที่จ.อุบลราชธานี ที่นำไปสู่การก่อเกิด ‘กลุ่มสมัชชาคนจน’ ในปี 2538 ที่เป็นการรวมตัวกันของประชาชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับผลกระจากโครงการพัฒฯาของรัฐ จะเห็นได้ว่าการต่อสู้ของประชาชนเริ่มตั้งแต่ยุคคอมมิวนิสต์ แต่เริ่มแสดงสิทธิ์หรือเรียกร้องได้เต็มที่ในยุคหลังที่ประเทศเริ่มเข้าสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น หลังจากมีการเลือกตั้งยุคปี 2530 เป็นต้นมา ก่อนเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยเต็มใบจากการมีรัฐธรรมนูญ 40
ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังคงต่อสู้อยู่ไม่ต่างจากในซีรีส์ Shine ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนปากแบงที่กำลังจะก่อสร้าง โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่ จ.ฉะเชิงเทรา หรือเขื่อนภูงอย เขื่อนสานะคาม ที่ก็อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้
Shine เริ่มต้นเรื่องด้วยเหตุการณ์อีกซีกโลกหนึ่ง นั่นก็การที่สหรัฐฯ กับภาระกิจอะพอลโล 11 ส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์สำเร็จได้สำเร็จในปีค.ศ. 1969 ซึ่งตรงกับปีพ.ศ. 2512 ตามท้องเรื่อง หากภารกิจการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์คือความสำเร็จรุ่งโรจน์อันเป็นประกายความหวังแห่งมนุษยชาติของสหรัฐฯ ในขณะที่ ‘อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์’ ซึ่งเป็นทั้งคำโปรยและชื่อเพลงประกอบซีรีส์ Shine ก็อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในด้านที่มืดมิดแสงส่องไม่ถึง กับวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาอย่างการสร้างเขื่อนที่สหรัฐฯ ได้นำมามอบไว้ให้ ที่แม้แต่ในปัจจุบันนี้เจ้าของแนวคิดการสร้างเขื่อนเองยังได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างนี้ออกไปบ้างแล้ว แต่ในประเทศไทย อีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ที่มืดมิดแห่งนี้ มรดกแห่งสงครามเย็นอย่างเขื่อนยังคงแข็งแกร่งและเติบโตเรื่อยมาท่ามกลางความสูญเสียของผู้คนตัวเล็กๆ ในสังคมที่ลุกขึ้นมาทัดท้านและท้าทายอำนาจของมัน
อ้างอิง
https://archives-library.rid.go.th/bitstream/handle/123456789/1784
https://www.openbase.in.th/files/ebook/textbookproject/seminakong001.pdf
https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/technology/10000-503.html
https://www.nesdc.go.th/the-national-economic-and-social-development-plan/
https://thaipublica.org/2021/10/people-chronicle-sumet-tantivejkul01/
บทความยอดนิยม


