เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net Zero

จะรักสิ่งแวดล้อมยังไง ถ้าการผลิตไฟยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมกันสูงถึง 72.1%
ในปี 2567 ไฟฟ้าที่ผลิตได้มาจากการใช้พลังงานฟอสซิล 72.1% ประกอบด้วยก๊าซฟอสซิล 57.9% ถ่านหิน 14.1% และดีเซล 0.1%
โดยข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในปี 2561 ชี้ว่า ภาคพลังงานเป็นตัวการสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 69.06% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่คำนวณจาก 5 ภาคส่วนหลัก ในขณะที่การปล่อย CO2 จากภาคพลังงานปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 93.9 ล้านตัน
การที่ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นหลักทำให้เป้าหมายในการจะเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net Zero ที่แท้จริงนั้นเป็นไปได้ยาก ในขณะที่ประเทศไทยเองก็ตั้งเป้าหมายการเป็นประเทศ Net Zero ไว้ในปี 2065 ซึ่งช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในโลกถึง 15 ปี

LNG อีกหนึ่งต้นเหตุสำคัญของการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน
ก๊าซในปี 2567 ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซสูงถึง 57.9% โดยมาจาก 3 แหล่งด้วยกันคือ ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 53.55% ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งมาจากการนำเข้า 35.53% และก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากเมียนมา 10.92%
การที่ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเป็นหลัก ทำให้เกิดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการจะเป็นประเทศ Net Zero โดยเชื้อเพลิง LNG ปลดปล่อยคาร์บอนสูงเป็นอันดับสองรองจากถ่านหิน อยู่ที่ 765 gCO2eq/kWh ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 490 gCO2eq/kWh
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ จำนวน 77 โรง รวมกำลังการผลิต 36,526.1 เมกะวัตต์*
*หมายเหตุ: ข้อมูลโรงไฟฟ้าที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า/เดินเครื่อง ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ไม่รวมกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก (VSPP)

โรงไฟฟ้าก๊าซ ไม่ได้ปล่อยแค่ CO2 แต่ยังเป็นตัวการของ ฝุ่น PM2.5
โรงไฟฟ้าก๊าซนอกจากจะปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์แล้ว ยังปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) อีกด้วย ก่อนหน้านี้วิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ ผู้อำนวยการ เครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง (MEENet) ออกมาให้ข้อมูลว่ารงไฟฟ้าพระนครใต้ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังผลิตรวม 1,930 เมกะวัตต์ และมีแผนจะขยายเพิ่มรวมทั้งสิ้นเป็น 4,519.4 เมกะวัตต์ในปี 2569-2570
หากเสร็จสมบูรณ์แล้วจะปล่อยฝุ่นละอองสู่บรรยากาศวันละกว่า 4.6 ตัน และปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) มากกว่า 6.4 ตันต่อวัน ซึ่งการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ในบรรยากาศนำไปสู่การก่อตัวของ PM2.5 ปัญหามลพิษทางอากาศที่ร้ายแรงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบันนี้
และสอดคล้องกับผลการศึกษาฝุ่นพิษของดร.จิม ครอว์ฟอร์ด นักวิทยาศาสตร์อาวุโสด้านเคมีบรรยากาศ ศูนย์วิจัยแลงลีย์ องค์การอวกาศนาซา NASA ผู้แทนโครงการ ASIA-AQ โดยธารา บัวคำศรี ที่ปรึกษากรีนพีซประเทศไทยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลขนาด 700MW 1 แห่ง สามารถปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจน ประมาณ 19 ตัน/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับออกไซด์ของไนโตรเจนที่ปล่อยจาก รถยนต์ 3,160,000 คัน

การพึ่งพา LNG ความเสี่ยงซ้ำซ้อนของค่าไฟและสิ่งแวดล้อมไทย
การพึ่งพา LNG ในการผลิตไฟฟ้า นอกจากจะสร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังก่อให้เกิดความผันผวนของค่าไฟอีกด้วย เพราะราคา LNG นั้นขึ้นลงตามสถานการณ์โลก เรากำหนดเองไม่ได้ ดังเช่นในปี 2565 ที่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคา LNG ถีบตัวขึ้นสูงจนเป็นเหตุให้ค่าไฟในช่วงเดือน ก.ย. – ธ.ค. 65 นั้นสูงถึง 4.72 บาท/หน่วย หรือเพิ่มสูงถึง 1.11 บาท/หน่วย เทียบกับช่วงเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2564 ที่เคยอยู่ที่ 3.61 บาท
แต่ถึงอย่างนั้น ประเทศไทยกลับกำลังมีนโยบายที่จะนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นจากแหล่งอะแลสกาของสหรัฐอเมริกา ปริมาณ 2-5 ล้านตันต่อปี โดยอาจจะเริ่มในปี 2571 นอกจากนั้นยังพบว่าเรากำลังจะมีท่าเรือ LNG แห่งที่ 3 เกิดขึ้นที่มาบตาพุด ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนา คาดว่าจะก่อสร้างเสร็จในปี 2570 โดยมีกำลังในการแปรสภาพ LNG เป็นก๊าซ อยู่ที่ 10.8 ล้านตัน/ปี
ซึ่งนอกจากคำถามที่ว่าเรายังต้องนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นอีกไหม ยังตามมาด้วยคำถามที่ว่า ท่าเรือ LNG แห่งที่ 3 นี้จะกลายเป็นต้นทุนที่ถูกผลักเข้ามาในบิลค้่าไฟของประชาชนอีกหรือไม่

ไทยยังเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่ม สวนทางสิ่งแวดล้อม-ค่าไฟ-กำลังสำรองล้น
ไม่เพียงแค่แนวนโยบายในการนำเข้า LNG เพิ่ม หรือท่าเรือ LNG แห่งที่ 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เรากำลังจะมีโรงไฟฟ้าก๊าซแห่งใหม่ ‘โครงการบูรพาพาวเวอร์’ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีกำหนดจะขายไฟเข้าระบบในปี 2570 นี้อีกด้วย รวมไปถึงโรงไฟฟ้าก๊าซของกฟผ. อีก 2,000 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ในร่างแผน PDP2024 ยังกำหนดไว้ว่าภายในปี 2580 ประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้าก๊าซขนาดใหญ่เกิดขึ้นอีก 8 โรง กำลังการผลิตรวม 6,300 เมกะวัตต์ อีกด้วย ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันปี 2567 พบว่ากฟผ. มีสัญญาซื้อไฟจากโรงไฟฟ้า IPP จำนวน 13 โรง แต่มีจำนวน 4 โรงที่ไม่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟ นั้นเท่ากับว่ากำลังสำรองไฟฟ้าของไทยนั้นมีล้นเกินจนโรงไฟฟ้าไม่ต้องผลิตไฟเข้าระบบตามสัญญาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นคนไทยก็ยังต้องจ่ายภายใต้สัญญาไม่ผลิตแต่ก็ต้องจ่าย (Take or Pay) อยู่ดี รวมแล้วเป็นเงิน 12,346.30 ล้านบาท
การที่ประเทศไทยยังจะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต นอกจากจะไม่คำนึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และสำรองไฟล้นเกินแล้ว ยังอาจจะทำให้ค่าไฟในอนาคตลดลงไม่ได้อีกด้วย เพราะรายงาน Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ซึ่งจัดทำโดย BloombergNEF (BNEF) กล่าวว่าในปี 2025 ต้นทุนพลังงานเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในประเทศไทยอยู่ที่ 33-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง (0.91-2.06 บาท/MWh) ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของโรงไฟฟ้าก๊าซ (CCGT) แห่งใหม่ (79-86 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน (74-96 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh) แล้ว ดังนั้นการที่ประเทศไทยยังจะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซต่อไป จึงจะกลายเป็นภาระทางด้านสิ่งแวดล้อมและภาระทางด้านค่าไฟของคนไทยทุกคน