เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี JustPow, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) และโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) จัดงานเสวนา “เขื่อนที่จะสร้างใหม่ทางโน้น หนาวถึงบิลค่าไฟทางนี้: วันหยุดเขื่อนโลก แต่เรากำลังจะมีเขื่อนเพิ่มอีกอย่างน้อย 6 เขื่อน” เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

ไพรินทร์ เสาะสาย ผู้ประสานงานการรณรงค์ องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งข้อสังเกตว่า ขณะที่ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นทวีปอเมริกาและยุโรปเกิดกระแสทุบเขื่อน เพราะมองว่านวัตกรรมเมื่อร้อยกว่าปีก่อนล้าสมัยแล้ว อีกทั้งยังส่งผลกระทบจำนวนมาก จึงมีการรื้อโครงสร้างต่างๆ ที่กีดขวางทางน้ำ โดยสหภาพยุโรปมีการรื้อโครงสร้างต่างๆ ในแม่น้ำทั่วยุโรปให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ 25,000 กิโลเมตร แต่น่าแปลกใจที่รัฐไทยและภูมิภาคนี้ยังนิยมสร้างเขื่อน เราถูกทำให้เชื่อว่าเขื่อนผลิตไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาด
ในภูมิภาคนี้มีการทำโครงการร่วมกับเพื่อนบ้าน เช่น ไทย ลาว นอกจากนี้ไทยก็มีความพยายามที่จะเป็นตัวกลางซื้อไฟจากลาวและส่งไปให้มาเลเซียและสิงคโปร์ด้วย ขณะที่ลาวประกาศตัวเองว่าเป็นแบตเตอรีแห่งเอเชีย และเชื่อว่ารายได้จากตรงนี้จะทำให้พัฒนาประเทศ แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้ก็คือ ประชาชนลาวไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
ไพรินทร์ กล่าวว่า ชัดเจนว่าเขื่อนไม่ใช่พลังงานสะอาด เพราะมันถูกแลกด้วยแนวคิดว่า สร้างสิ่งหนึ่งต้องเสียสิ่งหนึ่ง หรือ trade-off แต่เราไม่ควรใช้แนวคิดนี้แล้ว เพราะที่ผ่านมา เราเห็นว่าการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาสร้างผลกระทบมากมาย เขื่อนถูกสร้างบนพื้นที่ป่าที่มีระบบนิเวศ คนสร้างเขื่อนมักอ้างว่าการสร้างเขื่อนมีแต่ต้นทุนที่เป็นหิน ปูน แต่จริงๆ แล้ว แม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำนานาชาติมีระบบนิเวศ และเป็นความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ต้นทุนที่สำคัญที่ไม่ควรต้องถูกแลกคือ วิถีชีวิตของประชาชนที่ถูกโยกย้ายออกไป การเยียวยาไม่ได้ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม
หรือกรณีที่แม่น้ำโขงที่ปลายน้ำในเวียดนาม ปริมาณน้ำจืดไหลลงมาน้อยลง เพราะแม่น้ำถูกกักไว้ น้ำเค็มรุกเข้ามาเร็วและปริมาณมาก จนปลูกข้าวไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ถูกคำนวณในต้นทุนการก่อสร้างหรือไม่ และกลไกความรับผิดชอบเป็นอย่างไร ในเมื่อแม่น้ำโขงข้ามพรมแดน
ตนเองอยากจะย้ำกับคนไทยว่า สิ่งเหล่านี้คือต้นทุน และต้องคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่เราจะเดินหน้าจัดหาพลังงานที่เราคิดว่าเป็นพลังงานสะอาด โดยที่กำไรทั้งหมดจากการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงอยู่ในกระเป๋าของผู้ลงทุนมากกว่าประชาชนในไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และอยากสื่อสารไปยังนักลงทุนว่า โครงการเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่ความมั่นคงทางพลังงาน และสถาบันทางการเงินที่เชิดชูแนวคิดธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนควรจะพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและต่อประชาชนไทยและประชาชนในภูมิภาคนี้ ยังมีพลังงานที่สะอาดจริงๆ และใช้เวลาในการสร้างน้อยกว่า เทียบกับเขื่อนที่ใช้เวลาก่อสร้างอย่างน้อย 7 ปี
“โครงการเขื่อนใช้เวลาในการสร้างอย่างน้อย 7 ปี และสัญญายาว 27-35 ปี ในระยะเวลา 7 ปีของการก่อสร้างเพื่อให้ได้ไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์เป็นช่วงเวลาที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นในต่างประเทศและในภูมิภาคนี้ที่ราคาถูก รบกวนสิ่งแวดล้อมหรือทำลายวิถีของชุมชนน้อยมาก เช่น การทำโซลาร์เซลล์ โซลาร์รูฟท็อป มีทางเลือกอื่นนอกจากเขื่อนที่เป็นนวัตกรรมเมื่อร้อยปีที่แล้ว”
สำหรับทางออกของปัญหาเขื่อน ไพรินทร์เสนอว่า ควรยืดระยะเวลาการทำสัญญาจนกว่าจะมีการประเมินผลกระทบ และควรจะยกเลิกการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านว่าจะต้องเป็นเขื่อนเท่านั้น โดยยกตัวอย่างว่าในลาวมีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ซึ่งใช้เวลาสั้นกว่า แม้กระบวนการอาจจะถกเถียงได้อยู่
สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow องค์กรด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงเขื่อนผลิตไฟฟ้าในลาวว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทยเพราะจากข้อมูลจะเห็นว่าไทยมีสัดส่วนการลงทุนในเขื่อนบนแม่น้ำโขงที่ลาวมากที่สุด แต่บริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการมีที่เป็นของลาวน้อยมาก ส่วนใหญ่มีบริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของ และมีธนาคารไทยที่ให้กู้ยืม
หากเปรียบเทียบราคารับซื้อไฟฟ้าของไทยจากเขื่อนเหล่านี้จะพบว่า ราคารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวระยะหลังสูงขึ้นมาก เช่น เขื่อนหลวงพระบาง 2.84 บาทต่อหน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับเขื่อนระยะแรกที่อยู่ระหว่าง 1.70 บาทต่อหน่วย (น้ำเทิน 2) ถึง 2.10 บาทต่อหน่วย (น้ำงึม และเซเสด) หรือเมื่อเปรียบเทียบกับราคาซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี) ในประเทศ ที่มีราคาเพียง 2.83 บาทต่อหน่วย อีกทั้ง กบง. มีมติไม่ต่อสัญญาเขื่อนห้วยเฮาะ ซึ่งราคาซื้อไฟเพียง 2.14 ต่อหน่วย และน้ำเทิน 2 ซึ่งราคาซื้อไฟเพียง 1.7 บาทต่อหน่วย เหตุใดจึงต้องสร้างเขื่อนใหม่ ที่ราคาซื้อไฟแพงกว่าเดิม โดยไม่พิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การต่อสัญญาเขื่อนเดิม ซึ่งก็จะได้กำลังการผลิตมากกว่าเขื่อนใหม่ที่จะสร้างขึ้นเสียอีก
นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า เขื่อนขนาดใหญ่ที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนจากอ่างเก็บน้ำทำให้โลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และการปล่อยก๊าซมีเทนจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของการปล่อยก๊าซมีเทนโดยมนุษย์ยังสามารถนับเป็นพลังงานสะอาดได้หรือไม่
เมื่อดูราคาการซื้อไฟก็แสดงให้เห็นว่าไม่ถูก คำถามอยู่ที่ว่าเขื่อนยังเป็นพลังงานราคาถูกอีกหรือไม่ เหตุใดเราจึงไม่ต่อสัญญาจากเขื่อนที่มีอยู่เดิม แต่ไปลงทุนสร้างเขื่อนใหม่และซื้อไฟราคาแพงมากขึ้น ซึ่งจะกระทบกับค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่าย
สันติชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมา เรามักถูกวิจารณ์ว่าเอาแต่ค้าน แล้วตกลงจะเอาอะไรบ้าง แต่ในมุมมองของตนเองปัญหาก็คือ เรารู้อะไรบ้าง
“โจทย์ใหญ่ในนโยบายพลังงานในประเทศไทยคือ การแบข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล และทำให้มีเสียงของประชาชนอยู่ในนั้น ที่ผ่านมา รัฐไม่เคยให้ข้อมูลที่ชัดเจนและหลากหลายกับประชาชน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การสร้างเขื่อนต่างๆ จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขแบบใด ถ้ารัฐสามารถวางโปรโตคอลบางอย่างให้ประชาชนเข้าถึงสิ่งนี้ได้สะดวกมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ที่จะต้องสูญเสียที่ดินหรือถูกน้ำท่วมที่จะได้ข้อมูล แต่ต้องรวมถึงทุกคนที่เสียค่าไฟที่ควรได้รู้และเข้าไปให้ความคิดเห็น เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในพื้นที่ แต่มันส่งผลถึงค่าไฟของทุกคน”
ธัญญาภรณ์ สุรภักดี ผู้ประสานงานโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) เล่าย้อนถึงการลงทุนสร้างเขื่อนในประเทศลาวของไทยว่า เขื่อนในประเทศไทยลงหลักปักฐานในยุคสงครามเย็น ปี 2500 เป็นต้นมา เราจะเห็นว่าในช่วง 30 ปีนี้ มีเขื่อนปากมูลเป็นเขื่อนในประเทศเขื่อนสุดท้ายที่ถูกสร้างในปี 2536 เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงช่วงทศวรรษ 2530 ภูมิภาคนี้มุ่งไปที่การค้าและการพัฒนามีการทำ MOU ไทย-ลาว 2536 ประมาณสิบเขื่อน ตั้งแต่ปี 2540 เราเริ่มเซ็นสัญญาซื้อไฟจากเขื่อนลาว ผลจากวิกฤติต้มยำกุ้งทำให้ กฟผ. เลื่อนแผนการลงทุนออกไป จนปี 2545 เริ่มเซ็นสัญญาและปี 2550 เริ่มมีการจ่ายไฟ ปัจจุบันมีไฟ 4,500 เมกะวัตต์จากลาว การเซ็นสัญญาซื้อไฟจากเขื่อนลาวล็อตที่ใหญ่ที่สุดคือ ยุครัฐบาลประยุทธ์ 2 เขื่อนและรัฐบาลเศรษฐา 2 เขื่อน ซึ่งเราก็รอดูว่าจะมีโอกาสเลื่อนออกไปหรือไม่ เพราะตั้งแต่ 2540 เป็นต้นมา เรามีไฟฟ้าล้นเกินมาโดยตลอด
ธัญญาภรณ์ตั้งคำถามถึงความมั่นคงทางพลังงานที่ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายพลังงานของประเทศว่า เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เขื่อนในประเทศลาวจะผลิตไฟฟ้าให้เราได้ตลอดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ยาว 25-29 ปี ซึ่งในร่างแผน PDP2024 กำหนดว่า ปี 2580 สัดส่วนจากไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 9 เปอร์เซนต์เป็น 15 เปอร์เซนต์ จะเรียกว่าเป็นการยืมจมูกเพื่อนบ้านหายใจหรือไม่ ทั้งที่เราก็สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศได้ นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า เรายังสามารถคาดการณ์จากระบบนิเวศหรือไม่ เพราะเราเห็นแล้วว่า การสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงที่ผ่านมาทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนไป เกิดสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น น้ำน้อยกว่าปกติจนผลิตไฟไม่ได้
“เราไม่ค่อยพูดถึงการจัดการความต้องการไฟฟ้าในแง่การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ หรือกลไกที่เป็นมาตรการจูงใจที่ทำให้หน่วยงานเอกชนต่างๆ ลดหรือใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ถ้าเราทำสิ่งนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องมีโรงไฟฟ้าหรือเขื่อนใหม่
“ผู้ใช้ไฟเองก็ควรมีสิทธิผลิตไฟ ปัจจุบันเทคโนโลยีอนุญาตให้เราผลิตไฟฟ้าได้แล้ว แต่รัฐกลับไม่อนุญาตให้ประชาชนผลิตไฟเท่าที่มีศักยภาพ โดยปัจจุบันมีโควตาโซลาร์บนหลังคาของประชาชนรวมกันแค่ 350 เมกะวัตต์เท่านั้น นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรจะทวงจากภาครัฐ”
ปัจจุบันโดยเฉพาะบนแม่น้ำโขงสายประธานที่มีเขื่อนทั้งจากประเทศจีนและลาวรวมกันกว่า 10 แห่ง และมีแนวโน้มที่จะสร้างเพิ่มภายใต้ MOU การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทย-ลาว และร่างแผน PDP2024 ทั้งเขื่อนหลวงพระบางและเขื่อนปากลายที่เซ็นสัญญาไปแล้วและกำลังก่อสร้าง เขื่อนปากแบงและเขื่อนเซกอง4A4B ที่เซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ก่อสร้าง และเขื่อนที่มีแนวโน้มจะเซ็นสัญญาและก่อสร้างเพิ่มอีกในอนาคตอย่างเขื่อนสานะคามและเขื่อนภูงอย โดยเฉพาะเขื่อนสานะคามซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการเปิดเวทีให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น