วันนี้ (7 พ.ย. 2025) JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงาน “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

โดยในช่วงแรกนั้น เป็นการนำเสนอจากนักวิชาการ เริ่มจาก รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับประเด็น “คิดใหม่ ถ้าไทยจะ Net Zero 2050 จะจัดการอย่างไรกับการใช้พลังงานจากก๊าซฟอสซิล”
ไทยยังพึ่งก๊าซฟอสซิลเกินครึ่ง ทั้งที่ไฟจากโซลาร์เซลล์ถูกกว่าแล้ว
รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า แม้ความพยายามลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจะปรากฏอยู่ในแผนพัฒนาพลังงาน แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 50 และบางช่วงสูงถึงร้อยละ 60 ซึ่งขัดต่อหลักการความมั่นคงทางพลังงานที่ไม่ควรพึ่งพาทรัพยากรใดมากเกินไป ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยลดลงต่อเนื่อง ทำให้ไทยจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มากขึ้น
แม้จะมี ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ปี 2015 ที่มุ่งควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าทั่วโลกกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รศ.ดร.ชาลี ชี้ว่า ช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า การเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลจากการพึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงการผลิตไฮโดรเจน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ ความต้องการใช้ไฟฟ้าอาจเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าภายในปี 2050
หลายประเทศทั่วโลกเร่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราการเพิ่มพลังงานหมุนเวียนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 29 ต่อปี กรณีศึกษาที่โดดเด่นคือประเทศจีน ซึ่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 256 กิกะวัตต์ (GW) ในปีเดียว มากกว่ากำลังผลิตสูงสุดของไทยเกือบ 8 เท่า
การดำเนินการนี้สะท้อนว่า จีนเลือกลงทุนในพลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนถ่านหิน แทนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ เพราะมองว่าเทคโนโลยีฟอสซิลกำลังล้าสมัย อีกทั้งต้นทุนพลังงานที่ถูกลงยังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้จีนมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันทาง AI ระดับโลก
รศ. ดร.ชาลี ชี้ให้เห็นว่า การสร้างโรงไฟฟ้าใดๆ ควรพิจารณาจากสามมิติหลัก ได้แก่ 1. ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) คือความสามารถจ่ายไฟได้ตามต้องการ และควรเป็นพลังงานที่มาจากภายในประเทศ 2. ราคาที่เข้าถึงได้ (Affordability) คือ ต้องมีราคาที่เป็นธรรม ไม่สูงจนกระทบผู้บริโภค 3. ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
“ปัจจุบันเราพบว่า โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมาก ต่อให้ไม่คิดเรื่องต้นทุนโรงไฟฟ้าเลย คิดเฉพาะค่าก๊าซกับค่าเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือที่เราเรียกว่า Marginal Cost นั้นก็สูงกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต่อให้โรงไฟฟ้าไม่ต้องใช้เงินสร้างเลย ในการผลิตไฟฟ้าต่อหนึ่งหน่วยก็แพงกว่าโซลาร์เซลล์อยู่ดี”
รศ. ดร.ชาลี ย้ำว่า ก๊าซธรรมชาติอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทยในเวลานี้ โดยเฉพาะเมื่อประเทศได้ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้ NDC 3.0 ให้เหลือเพียง 270 ล้านตันภายในปี 2035 ซึ่งหมายความว่า ภาคพลังงานต้องลดการปล่อยก๊าซลงมากกว่าร้อยละ 40 หรือให้เหลือเพียง 117 ล้านตัน ซึ่งหากยังคงสร้างโรงไฟฟ้าคาร์บอนเข้มข้น เช่น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ กำลังผลิต 540 เมกะวัตต์ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2 ล้านตันต่อปี เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของไทยจะไม่สามารถบรรลุได้แน่นอน
ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเกือบ 52,000 เมกะวัตต์ แต่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปีที่ผ่านมาอยู่ที่เพียง 34,000 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตล้นเกินกว่าร้อยละ 50 ภาระที่ตามมาคือ “ค่าพร้อมจ่าย” (Availability Payment) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าแม้ไม่มีการผลิตไฟฟ้าเกิดขึ้นจริง
“มีความพยายามจะสร้างโรงไฟฟ้าอยู่เรื่อยๆ และการสร้างโรงไฟฟ้าทุกโรงการันตีว่าไม่ขาดทุน วิธีการเริ่มต้นคือ พยากรณ์ความต้องการใช้ไฟให้เยอะไว้ก่อน ซึ่งแผนปัจจุบันที่เราใช้อยู่ ทำมาตั้งแต่ก่อนโควิด ทั้งที่รู้แล้วว่ามันไม่ตรงตามที่เราคาดการณ์ไว้ ก็ยังดื้อรั้นในการจะใช้แผนนั้นต่อไป
“โรงไฟฟ้าที่ล้นเกินนั้นกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายค่าไฟที่ทุกคนต้องร่วมกันจ่าย และคนที่วางแผนผิดพลาด พยากรณ์ผิดพลาด ก็ไม่ต้องรับความผิดใดๆ ทั้งสิ้น”
อีกปัญหาที่ รศ. ดร.ชาลี ชี้ให้เห็นคือ โครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติที่ไม่เป็นธรรม โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมีบางกลุ่มได้ใช้ก๊าซราคาถูก ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องซื้อก๊าซราคาแพง กลายเป็นต้นตอของหนี้และการไม่สามารถลดค่า FT เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าผูกติดอยู่กับต้นทุนก๊าซมากเกินไป ประชาชนจึงต้องเป็นผู้แบกรับภาระ
รศ. ดร.ชาลี ยังเสนอแนวทางสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ได้แก่ การเร่งจัดทำ PDP ฉบับใหม่ ให้สอดคล้องกับศักยภาพทรัพยากรในประเทศ ลดการพึ่งพานำเข้าเชื้อเพลิง การหยุดสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลใหม่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาระระยะยาวที่ไม่จำเป็น การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนเต็มศักยภาพ และขยายระบบ ผลิตไฟฟ้าแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) การปรับโครงสร้างราคาก๊าซให้เป็นธรรมตามคุณภาพเนื้อก๊าซ และการสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยด้วยวิธีที่ยั่งยืน เช่น การติดตั้ง Solar Cell ระบบ Net Metering เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อย่าให้สินเชื่อสีเขียวกลายเป็นเครื่องมือฟอกเขียว
จากนั้น สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ Climate Finance Network Thailand (CFNT) และกรรมการผู้จัดการบริษัท ป่าสาละ จำกัด นำเสนอในประเด็น “บทบาทของภาคการเงินในการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่แท้จริง” กล่าวถึงบทบาทของภาคการเงินในการเปลี่ยนผ่านพลังงานว่า ปัจจุบันธนาคารหลายแห่งเริ่มปล่อย “สินเชื่อสีเขียว” หรือสินเชื่อเพื่อโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยประเภทสินเชื่อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ พลังงานหมุนเวียน
อย่างไรก็ตาม สฤณีย้ำว่า การพิจารณาสินเชื่อสีเขียวของธนาคาร ไม่ควรดูเพียงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น เพราะในหลายกรณี โครงการที่อ้างว่า “เขียว” กลับมีปัญหาเรื่องการกำกับดูแล เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ขาดมาตรฐานสิ่งแวดล้อม หรือเทคโนโลยีใหม่อย่าง “ไฮโดรเจน” ซึ่งภาคการเงินต้องพิจารณาให้รอบด้านว่า มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจริงหรือไม่ และธนาคารควรมีระบบตรวจสอบว่า “โครงการเหล่านั้นเขียวจริงหรือไม่”
แม้แนวโน้มสินเชื่อสีเขียวจะเพิ่มขึ้น แต่สฤณีชี้ว่า หากเทียบกับมูลค่าการสนับสนุนโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิลแล้ว ยังถือว่าน้อยมาก และยังไม่สะท้อนความรับผิดชอบทางสิ่งแวดล้อมของภาคการเงินอย่างแท้จริง
เธอกล่าวว่า ภาคการเงินจำเป็นต้องเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ที่ผ่านมาเรามีบทบาทในการก่อความอยุติธรรมขึ้นมากแค่ไหน” และควรผลักดันเรื่อง “เน็ตซีโร่ (Net Zero)” ให้เข้มข้นกว่าการตั้งเป้าหมายบนกระดาษ ต้องแสดงให้เห็น แนวทางและแผนปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ว่าจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร สฤณีเสนอว่า ธนาคารควรมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยลูกค้าที่อยู่ในธุรกิจพลังงานฟอสซิล เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินหรือโรงไฟฟ้าก๊าซ ในการวางแผน “ปลดระวางก่อนกำหนด” และเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ
“[สถาบันการเงิน] ต้องไปคุยกับลูกค้า ซึ่งในประเทศไทยอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้ารายเดียว ก็ต้องคุยกับ กฟผ. ถ้าธนาคารจูงใจ เช่น ทำให้ดอกเบี้ยถูกลง หรืออธิบายว่า ถ้าจะเก็บภาษีคาร์บอนก็ไม่ถูกเก็บภาษี ลูกค้าอาจจะสนใจได้”
สฤณีกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน สถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา เช่น ธนาคารโลก และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ก็เริ่มออกแบบโครงการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรม (Just Energy Transition) ซึ่ง ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนให้ลูกค้า แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้ด้วย
สฤณีย้ำว่า ต้องเรียกร้องให้ธนาคารมองเห็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างความยุติธรรม และเรียกร้องให้ธนาคารก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องนี้
กรมสิ่งแวดล้อมวางแผนลดคาร์บอน แต่รัฐมนตรีพลังงานสั่งกลับไปใช้แผนเก่า
และสุดท้ายกับประเด็น “แผน PDP ต้องมีหน้าตาอย่างไรถึงจะสอดคล้องกับ NDC3.0 และ Net Zero 2050” โดย ธารา บัวคำศรี ผู้ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ ประเทศไทย และผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors กล่าวถึงข้อเสนอที่ว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ควรมีลักษณะอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับเป้าหมาย NDC 3.0 และ Net Zero 2050 โดยแสดงความกังวลว่า แผนงานด้านพลังงานของไทยในปัจจุบันยัง “ไม่สอดคล้องกัน”
ธาราอธิบายว่า แผน NDC 3.0 ที่ไทยเสนอต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ได้ปรับวิธีการเทียบเป้าหมายจาก “สถานการณ์ปกติ” (Business As Usual: BAU) ใน NDC 2.0 มาเป็นการเทียบกับ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงในอดีต
ตามแผนใหม่นี้ ตั้งเป้าลดการปล่อยสุทธิให้เหลือ 270 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากระดับการปล่อยจริง 379.2 ล้านตันในปี 2562 ซึ่งครอบคลุมทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ หากไทยต้องการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ย ประมาณ 8 ล้านตันต่อปีตลอด 31 ปีข้างหน้า
ในขณะที่ “กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” วางแผนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (NDC 3.0) ตามกรอบข้างต้น แต่ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” กลับสั่งการให้ยึดแผน PDP ปี 2018 (ฉบับทบทวนครั้งที่ 1) ซึ่งมีการ “เลื่อนกำหนดการส่งจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ” หรือการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าบางแห่งออกไป
การดำเนินการดังกล่าว ธาราระบุว่า “ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเป้าหมาย NDC 3.0” เพราะจะทำให้การลดการปล่อยก๊าซของภาคพลังงานล่าช้าและขาดความต่อเนื่อง
“ใน NDC 3.0 ระบุถึงเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกที่รัฐบาลไทยต้องการใช้ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก ได้แก่ การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ทั้งในและนอกชายฝั่ง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย รวมถึงการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินก็ต้องใช้เงิน ซึ่งจะลดคาร์บอนได้ 6 ล้านตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 11 ล้านต่อคาร์บอน 1 ตัน
ทั้งหมดนี้ ต้องการเงินช่วยเหลือจากกองทุนสภาพภูมิอากาศ และเป็นหัวใจสำคัญที่ถูกไฮไลต์ใน NDC 3.0 เพื่อนำมาใช้ในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ซึ่งจะไปอยู่ในแผน PDP แต่ใน NDC 3.0 กลับไม่ได้เน้นเรื่องพลังงานหมุนเวียนเท่าที่ควร ทั้งที่เทคโนโลยีเหล่านี้ควรถูกหยิบมาถกเถียงกันในสังคมไทยในพื้นที่สาธารณะก่อนว่ามีความจำเป็นหรือไม่เพราะมีต้นทุนที่สูงมาก”
ธาราเสนอว่า หากต้องการให้แผน PDP ใหม่เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนสู่เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ แผนดังกล่าวต้องมีการดำเนินการใน 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
- กำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าควรถูกจำกัดการปล่อยเป็นอันดับแรก เพราะหากไฟฟ้ายังพึ่งพาฟอสซิล การใช้ไฟในภาคอื่น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า จะไม่ช่วยลดคาร์บอนได้จริง โดยควรกำหนดเพดานการปล่อยไว้ที่ 60 ล้านตันภายในปี 2573 และลดลงเหลือ 15–30 ล้านตัน ตามเป้าหมายช่วงปลายแผน NDC 3.0
- ปลดระวางถ่านหินอย่างเร่งด่วน แผน PDP ใหม่ต้องเร่งดำเนินการปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะตาม NDC 3.0 การดำเนินการนี้จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 6 ล้านตันต่อปี
- ปรับเปลี่ยนบทบาทของก๊าซฟอสซิล ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังคงมองฟอสซิลเป็น Base Load แต่หากต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานใหม่ ต้องพิจารณาให้นำโรงไฟฟ้าฟอสซิลที่มีอยู่มาใช้เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่น (Flexible) แทน ไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มเติมอีก และควรทบทวนหรือรื้อสัญญาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ LNG และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เพื่อให้แผน PDP สอดคล้องกับแผน Net Zero ที่กำหนดให้ภาคไฟฟ้าใช้ก๊าซฟอสซิลน้อยกว่าร้อยละ 20 ภายในปลายแผน
- ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงาน พลังงานหมุนเวียนต้องเป็น “หัวใจหลัก” ของระบบไฟฟ้า โดยควบคู่กับการพัฒนา ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อช่วยรักษาความถี่และแรงดันของระบบ รวมถึงบูรณาการกับเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
- กระจายศูนย์ระบบพลังงาน (Decentralization) แผน PDP ที่ผ่านมาเน้นสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และโซลาร์ฟาร์ม แต่ยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมผลิต เช่น โซลาร์บนหลังคา (Rooftop Solar) หรือระบบแบตเตอรี่ในครัวเรือน ควรปฏิรูปตลาดไฟฟ้า เปิดให้มีการประมูลแข่งขันในระบบพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงานในราคาที่โปร่งใสและเป็นธรรม
นอกจากนี้ในช่วง วงเสวนา “ทิศทางของฟอสซิลในแผน PDP ฉบับใหม่กับเป้าหมาย Net Zero 2050 ที่ไทยต้องไปให้ถึง” โดยสปีกเกอร์ทั้ง 3 คน
สฤณี อาชวานันทกุล ตั้งข้อสังเกตว่าใน NDC 3.0 ทั้งข้อเสนอของภาครัฐดูเหมือนจะเน้นไปที่ การลงทุนในเทคโนโลยีการเก็บกักคาร์บอน (CCS) ซึ่งเราก็อาจจะเอาต้นทุนที่ตอนนี้อยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เอาไปไว้ในค่าไฟได้ ขณะเดียวกัน ขอตั้งคำถามต่อภาครัฐว่า ตัวเลือกต่างๆ ที่แจ้งต่อประชาชน ลงรายละเอียดเรื่องต้นทุนครบถ้วนทั้งหมดหรือไม่ และแต่ละตัวเลือก มีการเลือกต้นทุนเฉพาะบางอย่างหรือไม่ เช่น ไม่มีตัวเลข CCS ยังไม่รวมถึงขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนที่หายไปนานแล้ว
ในขณะที่ รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ เสริมว่า เทคโนโลยีการเก็บกักก๊าซเรือนกระจก (CCS) ที่ถูกพูดถึงว่าจะลดก๊าซเรือนกระจกได้ และเราสามารถเก็บก๊าซเรือนกระจกอัดเก็บลงไปในบ่อก๊าซที่หมดอายุแล้ว แต่วิธีนี้มีการศึกษาแล้วว่า ต้นทุนสูงมาก อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในไทยมีศักยภาพด้านอื่นอีกมาก หากเราเอาโรงไฟฟ้าที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะสามารถสร้างความมั่นคงทางพลังงานได้
“ถ้าการจัดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตันใช้เงิน 100 เหรียญ (ประมาณ 3,000 บาทต่อตัน) 8 ล้านตันก็คูณเข้าไป กี่หมื่นล้านต่อปี รัฐไม่ได้ใจดี ทุกอย่างส่งมาในค่าไฟทั้งหมด การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซฟอสซิล 1 หน่วย จะผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ครึ่งกิโลกรัม ถ้าเอาต้นทุนค่าไฟจากก๊าซบวกกับต้นทุนที่ต้องจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ลงใต้ดินค่าไฟจากก๊าซต้องสูงขึ้นหน่วยละ 1.5 บาท”
ด้านธารา บัวคำศรี กล่าวว่าไม่เห็นความเป็นไปได้ว่า แผน PDP ฉบับใหม่กับแผน NDC จะสอดคล้องกัน และตั้งคำถามว่า การตั้งเป้าหมายของไทยมีแค่เรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกหรือไม่ ขณะที่ในประเทศอื่นๆ ใส่แผนเกี่ยวกับก๊าซมีเทนลงไปด้วย ซึ่งประเทศไทยไม่ได้ลงนามใน Global Methane Pledge (GMP)
วงเสวนา “ทิศทางของฟอสซิลในแผน PDP ฉบับใหม่กับเป้าหมาย Net Zero 2050 ที่ไทยต้องไปให้ถึง”
และในช่วงที่ 2 “จาก Net Zero 2050 สู่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ : เสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงการเปลี่ยนที่ยังไม่ผ่านพลังงานไทย” นำเสนอเสียงจากพื้นที่ โดยเริ่มต้นจาก นันทวัน หาญดี เครือข่ายติดตามผลกระทบจากโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน-บูรพา
นันทวัน เล่าถึงประสบการณ์ 18 ปีที่ร่วมคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้า “เขาหินซ้อน” ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินมาเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซ “บูรพาพาวเวอร์” ว่า มีข้อสงสัยต่อกระบวนจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ว่า คณะกรรมการรับฟังความเห็นของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการมากน้อยเพียงใด
นันทวันเล่าต่อไปว่า ในระหว่างที่ทางโครงการยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทางเครือข่ายฯ ยื่นหนังสือคัดค้านในเดือนมีนาคม 2568 และขอให้ กกพ. ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงก่อนตัดสินใจพิจารณาออกใบอนุญาต โดยมีนัดหมายลงพื้นที่ในวันที่ 22 ตุลาคม แต่ปรากฏว่า กกพ. ออกใบอนุญาตไปตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ไปก่อนแล้ว ซึ่งทางเครือข่ายฯ เห็นว่าเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบธรรมและไม่เป็นธรรม
“ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ แต่จะเกี่ยวพันกับคนไทยทั้งประเทศ ที่จะต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตค่าไฟฟ้าจากตัวโครงการโรงไฟฟ้าบูรพานี้ด้วย”
ด้วยเหตุนี้ ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จึงดำเนินการ “เดินเท้าอย่างสันติวิธี” เป็นเวลา 7 วัน จากเขาหินซ้อนไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 68 เรียกร้องให้ตรวจสอบกระบวนการที่ไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรมในการออกใบอนุญาต และเสนอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้า

จากนั้น ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ ทีมวิจัยผลกระทบทางสุขภาพชุมชนจากโครงการโรงไฟฟ้าเขาหินซ้อน ก็ได้ตั้งคำถามกับรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพา พาวเวอร์ โดยเฉพาะการศึกษาทางเลือกของเชื้อเพลิงต่างๆ ที่อยู่ในรายงานว่า เหตุใดจึงเปรียบเทียบเฉพาะถ่านหินกับก๊าซเท่านั้น ทั้งที่ปัจจุบัน ควรเปรียบเทียบก๊าซกับเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ เช่น แสงอาทิตย์ ซึ่งไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอน
“การเปิดให้เอกชนรายใหญ่ได้รับสัญญาระยะยาวเป็นการแข่งขันไม่เป็นธรรม แทนที่จะเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนรายย่อย ในรายงาน EIA ไม่ให้ความสำคัญกับสภาพวิกฤติภูมิอากาศ ไม่คำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดอายุโครงการเลย นอกจากให้เหตุผลว่า ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าถ่านหิน”
นอกจากนี้ ในรายงาน EIA ยังไม่กล่าวถึงมลพิษจากฝุ่น PM2.5 ที่มาจากโรงไฟฟ้า ซึ่งกระทบสุขภาพของประชาชนและส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร ส่วนการใช้น้ำของโครงการใช้สัดส่วนถึง 24% ของการใช้น้ำในคลองระบมทั้งปี ทั้งนี้ในพื้นที่มีโรงไฟฟ้าอยู่แล้ว 2 โรง โดยโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์นี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีอยู่เดิม
ส่วน ครรชิต เข็มเฉลิม สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน กล่าวถึงผลกระทบต่อแหล่งน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบูรพา พาวเวอร์ ว่า ตัวโครงการอยู่ในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม แต่คนที่ใช้น้ำเกี่ยวข้องกับเกือบทั้งจังหวัดฉะเชิงเทราปัจจุบัน ในช่วงเดือนสิงหาคมก็ยังเจอปัญหาน้ำไม่พอใช้ รวมทั้งต้องรับมือกับการรุกของน้ำเค็มที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาแสดงความกังวลว่าเวลานี้ปริมาณน้ำน้อยลงไปมาก จนไม่แน่ใจว่าจะมีน้ำเพียงพอสำหรับฤดูแล้งปีหน้าหรือไม่
“คลองท่าลาดก่อนจะลอยกระทง 3-4 วันนี้น้ำแห้งจนเห็นตลิ่งกว้าง นี่คือคลองที่ดูแลคนทั้งลุ่มแม่น้ำ แต่เหนือคลองนี้ไป โรงไฟฟ้าจะมาขอแบ่งน้ำใช้อีกแล้ว ทั้งที่น้ำที่มีก็ไม่พอ นี่เป็นปัญหาที่อยากให้ทุกคนได้เห็นและเข้าใจ การพัฒนาอะไรสักอย่าง ถ้ามันจะยั่งยืนได้ ต้องทำตามศักยภาพของสิ่งทรัพยากรที่มีอยู่ ถ้าเราทำเกินมันก็จะขาด เวลาขาดคนที่เดือดร้อนคือใคร? ถ้าเราตอบโจทย์นี้ได้ การพัฒนาจะยั่งยืน”
นอกจากนี่ วิสาขา ศรีเกษม ผู้ได้รับกระทบจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ยังได้กล่าวถึงผลกระทบที่จะได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ว่า ตนเองได้รับความเดือดร้อนจากสายไฟฟ้าแรงสูงที่จะพาดผ่านที่ดินของตนเอง โดยถูกบังคับให้เปลี่ยนพืชที่เพาะปลูก “โครงการโรงไฟฟ้ากำหนดให้เราปลูกพืชไม่เกิน 3 เมตร แต่เราปลูกยูคาลิปตัส ยางพารา มีผลผลิตที่เราเก็บเกี่ยวได้ ไร่ละ 20,000 บาท เราตัดมา 15 ปี 5 รอบ เราได้ 6 แสนบาท ที่ดินนี้เป็นของปู่ย่าตายายที่อยากจะส่งต่อให้ลูกหลานทำกินต่อได้ เราจะทำอย่างไร”
และสุดท้าย กัญจน์ ทัตติยกุล จากเครือข่ายฉะเชิงเทรารีพาวเวอร์ กล่าวถึงการกำกับดูแลและการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นปัญหาของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่ถูกเร่งรัดกระบวนการจนขาดความเป็นธรรม โดยยกตัวอย่างพ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง 3 มาตรา ได้แก่ มาตราที่ 8, 11 และ 47 แต่การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นไปตามที่พระราชบัญญัติฯ กำหนดไว้ จึงนำมาสู่ข้อสรุปที่ว่า กระบวนการที่เร่งรัดและขาดความเป็นธรรมในการออกใบอนุญาตให้กับโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์นั้น ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย

โดยในช่วงสุดท้ายประชาชนจากพื้นที่ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ยืนยันการคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ และย้ำให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของคนในพื้นที่ฉะเชิงเทราเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศควรจะร่วมกันส่งเสียงคัดค้านโครงการนี้ เพราะส่งผลกระทบต่อค่าไฟของทุกคน
ข่าวยอดนิยม




