รายงานจาก BloombergNEF ชี้ “ต้นทุนจากแสงอาทิตย์ของไทยต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่”

รายงานจาก BloombergNEF ชี้ “ต้นทุนจากแสงอาทิตย์ของไทยต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่” จึงไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่แล้ว ควรหันมาส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภค

วันนี้ (21 พ.ค. 2025) JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงานเปิดตัวรายงาน Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ซึ่งจัดทำโดย BloombergNEF (BNEF) พร้อมการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางประเทศไทยภายใต้ต้นทุนพลังงานที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต” ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (Foreign Correspondents’ Club of Thailand – FCCT) 

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม นำเสนองานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ซึ่งเป็นเนื้อหาเรื่องต้นทุนพลังงานของประเทศไทย ซึ่งรายงานดังกล่าวจะแสดงถึงต้นทุนพลังงานของไทยจากเชื้อเพลิงต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและคาดการณ์ไปสู่อนาคต 

โดยเนื้อหาที่สำคัญในรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ปี 2025 ต้นทุนพลังงานเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในประเทศไทยอยู่ที่ 33-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง (0.91-2.06 บาท/MWh) ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของโรงไฟฟ้าก๊าซ (CCGT) แห่งใหม่ (79-86 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน (74-96 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh) 

ดังนั้น ภายใต้ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (ร่าง PDP2024) ซึ่งวางแผนที่จะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซ (CCGT) อีก 6.3 กิกะวัตต์ BNEF มองว่าไทยไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเพิ่มอีก เพราะจะทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นไปอีก และต้องพึ่งพาการนำเข้า LNG มากขึ้นเรื่อยๆ และควรทยอยเลิกโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่มีอยู่แล้วให้สอดคล้องกับการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น โดยชี้ว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็นแนวทางที่คุ้มค่าที่สุด โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ระดับสาธารณูปโภคเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจำนวนมากแห่งใหม่ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยแล้ว 

รวมไปถึงโรงไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งพร้อมแบตเตอรี่เก็บไฟ 4 ชั่วโมง ซึ่งมีต้นทุนพลังงานเฉลี่ยต่อหน่วย (LCOE) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ในประเทศไทยแล้ว และคาดการณ์ว่า LCOE จะลดลงเหลือ 44-80 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2030 และ 29-57 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงภายในปี 2050 นอกจากนี้ BNEF ยังชี้ว่าในการจัดการกับความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน ประเทศไทยสามารถใช้พลังงานน้ำสูบกลับและระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ได้ 

ในส่วนของการลดการปลดปล่อยคาร์บอน ภายใต้แผนการเดินทางไปสู่ Net Zero ของประเทศไทย โดยในร่างแผน PDP2024 จะมีการนำเอาไฮโดรเจน 5% มาเผาร่วมกับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าก๊าซ การใช้ระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นั้น 

BNEF มองว่าไฮโดรเจนและแอมโมเนียเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาแพงกว่าก๊าซและถ่านหินเมื่อเทียบในหน่วยพลังงานที่เท่ากัน การพึ่งพาเชื้อเพลิงดังกล่าวอาจทำให้ราคาไฟฟ้าสูงขึ้น นอกจากนี้ในการใช้ระบบดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) BNEF ชี้ว่าการปรับปรุงโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ด้วยเทคโนโลยี CCS จะไม่ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า และการใช้ระบบ CCS นั้นยังมีราคาแพงกว่าพลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ในประเทศไทยอีกด้วย ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) นั้น BNEF มองว่าประมาณการต้นทุนเทคโนโลยี SMRs ในปัจจุบันทั้งหมดสูงกว่าประมาณการต้นทุนสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิม ทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมและ SMRs มีราคาแพงกว่าพลังงานหมุนเวียนที่เสริมด้วยระบบกักเก็บพลังงานอย่างมาก

นอกจากการนำเสนอรายงาน Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid ของ BloombergNEF (BNEF) แล้ว ในงานยังมีเวทีเสวนาเรื่อง “ทิศทางประเทศไทยภายใต้ต้นทุนพลังงานที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต” โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ Shantanu Jaiswal หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BloombergNEF, ดร.ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม หัวหน้าโครงการ นโยบายพลังงาน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Agora Energiewende, อาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ด้านอนุรักษ์พลังงาน และ Grid Modernization สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และ ชัพมนต์ จันทรพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ เอนเนอร์ยี จำกัด ดำเนินรายการโดย รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ที่ปรึกษานักวิจัย Climate Finance Network Thailand

โดย Shantanu Jaiswal หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ BloombergNEF กล่าวถึงการเปรียบเทียบไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า แต่ละประเทศก็มีแนวทางที่แตกต่างกันในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนไม่ว่าจะเป็นแสงอาทิตย์หรือลมก็ลดลงเหมือนกันหมด แต่ประเทศไทยมีข้อดีตรงที่มีแหล่งพลังงานหมุนเวียนหลากหลาย

สิ่งที่ควรทำคือต้องเริ่มใช้โอกาสที่มีในปัจจุบัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเอกชน Shantanu มองว่า ตอนนี้ไทยยังไม่มีกลไกชัดเจนที่ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาร่วมมือ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างความสนใจมากขึ้น และควรเปิดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการสายส่งไฟฟ้าให้มากขึ้น ทำอย่างไรให้สายส่งของเรายืดหยุ่น เพิ่มตัวเลือกให้คนสามารถเลือกพลังงานหมุนเวียนได้ วิธีการเหล่านี้จะเร่งความเร็วให้เราผลักดันให้ใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

Shantanu กล่าวว่า “ควรเร่งให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียนทุกมิติ ไม่ใช่แค่การผลิต ซึ่งลดต้นทุนและพัฒนานวัตกรรมได้ด้วย”

ดร.ศุภวรรณ แซ่ลิ้ม ให้ความคิดเห็นต่อรายงานของ BNEF ฉบับนี้ในประเด็นการเตรียมพร้อมสำหรับไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยไว้ว่า รายงานฉบับนี้เป็นหลักฐานให้เห็นถึงเทคโนโลยีและค่าใช้จ่ายการผลิตไฟฟ้าแล้วว่า การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ควบคู่กับแบตเตอรี่ถูกกว่าโรงไฟฟ้าจากถ่านหินและก๊าซ ในอนาคตค่าใช้จ่ายจากโรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหินในประเทศไทยจะแพงขึ้น เพราะเราต้องไปผสมกับเทคโนโลยีอื่นด้วย ข้อสรุปจากรายงานเปลี่ยนการวางแผนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งไทยสามารถหลีกเลี่ยงภาระทางการเงินได้

โดย Agora Energiewende มองว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซมากเกินไป เทคโนโลยีลดคาร์บอนที่มีความเสถียรต่ำ และจากนโยบายด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ตอบสนองความต้องการของเอกชน เราจำเป็นจะต้องเร่งศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์โดยเฉพาะการเก็บกักพลังงาน ศุภวรรณกล่าวว่า “แผนพลังงานที่มีอยู่ช้ากว่าความต้องการของภาคเอกชน และพึ่งพาเทคโนโลยีที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้มากเกินไป เราต้องมีการวางแผนที่ชาญฉลาด ใช้ไฟฟ้าจากหลากหลายแหล่งมากขึ้น รัฐบาลต้องวางแผนอนาคตที่สอดคล้องกับตลาดมากขึ้นและแม่นยำมากขึ้น”

นอกจากนี้ ศุภวรรณยังระบุว่า การลงทุนในโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าสำคัญมาก “เราจำเป็นต้องลงทุนในสายส่ง เพราะในอนาคตเราจะใช้พลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม มากขึ้น เราต้องเตรียมสายส่งให้พร้อมเพื่อให้ระบบไฟฟ้าของเราเสถียรและเชื่อถือได้”

อาทิตย์ เวชกิจ เห็นด้วยกับข้อเสนอของรายงานฉบับนี้ โดยเฉพาะต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับระบบเก็บกักพลังงานว่าถูกกว่าพลังงานฟอสซิล พร้อมทั้งกล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจ หากไทยไม่มีการปรับปรุงแผนการผลิตไฟฟ้าว่า 

“เรามีเวลาเหลือเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้นในการปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ก่อนจะถึงปี 2030 เพราะลูกค้าจะไม่สนับสนุนธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่ไม่ลดคาร์บอนอีกต่อไป เราต้องเผชิญกับผลกระทบเศรษฐกิจซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแล้วด้วยซ้ำ แต่เราไม่มีแผนว่าจะทำอย่างไร”

อาทิตย์ระบุว่า ต้องการสมาร์ทแพลนนิ่ง ที่ผ่านมาได้ยินนโยบายต่างๆ แต่ไม่เห็นการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลต้องทำงานกับภาคส่วนอื่นๆ มากขึ้น และต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากนี้อาทิตย์ยังกล่าวว่าต้องทบทวนการวางแผนการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่ไม่ใช่การวางแผนล่วงหน้านาน แต่ต้องใกล้เคียงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น เปลี่ยนประธานาธิบดี 1 คน โลกก็เปลี่ยนแปลง ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบเก็บกักพลังงานวางแผนได้ 1 ปี แต่โรงไฟฟ้าก๊าซอาจต้องวางแผน 5 ปี ขณะเดียวกันก็ต้องใช้พลังงานฟอสซิลที่ลงทุนไปแล้วให้คุ้มค่ามากที่สุด

อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ การเปิดให้บุคคลที่สามเข้ามาใช้หรือเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้า (Third party access) อาทิตย์ตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่มีการพูดถึงว่าเราจะเก็บค่าสายส่งเท่าไร ทั้งที่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ.มีนโยบายตั้งแต่ปีที่แล้ว ทั้งที่เรื่องนี้เป็นกระดูกสันหลัง

อุปสรรคอีกประการหนึ่งของผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนคือ การกำกับดูแลที่ใช้เวลานานเกินไป การขออนุญาตดำเนินการโซลาร์ฟาร์มต้องใช้เวลานาน 1.5 ปี “ต้องทำอย่างไรให้เร็วขึ้น ตอนนี้เหมือนเป็นสิ่งที่คุมกำเนิดการนำเอาพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในประเทศ”

ชัพมนต์ จันทรพงศ์พันธุ์ มีความเห็นตรงกันกับอาทิตย์ในประเด็นความล่าช้าของภาครัฐ โดยกล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมระบบเก็บกักขนาดไม่ถึง 100 เมกะวัตต์สามารถทำได้ภายใน 4-8 เดือน แต่การขอใบอนุญาตต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี 

ชัพมนต์ยกตัวอย่างกระบวนการขอใบอนุญาตการทำโซลาร์ฟาร์มที่เป็นอยู่ว่า ต้องขอใบอนุญาตถึง 8 อย่างตั้งแต่การก่อสร้าง ตั้งโรงงาน การวางผังเมือง ขอผลิตไฟฟ้า (แบบดั้งเดิม)​ เป็นการทับซ้อนขึ้นมา สิ่งเหล่านี้ใช้เวลานานมากสำหรับผู้พัฒนา อยากจะแนะนำให้เลิกทำสิ่งเหล่านี้ ทำกฎระเบียบให้เป็นแนวทางเดียวกัน “ตอนนี้ในประเทศไทย มีสามองค์กรที่ทำเรื่องไฟฟ้าในหลายกระทรวง การประสานกฎระเบียบต่างๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง”

ในส่วนของผู้ทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ชัพมนต์กล่าวว่า ธุรกิจไม่รอภาครัฐและไม่หวังการสนับสนุนจาก FiT แล้ว แต่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรงเอง ไม่รอนโยบาย direct PPA จากภาครัฐ โดยยกตัวอย่างการทำธุรกิจกับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ติดต่อเข้ามาเอง ต้องการบริษัทให้ผลิตไฟฟ้า 50 เมกะวัตต์ เราก็ไปซื้อที่ดินและตั้งโรงไฟฟ้าข้างบริษัทลูกค้าเลย เพื่อให้ลูกค้าดำเนินการตามเป้าหมายลดคาร์บอนได้ ซึ่งภาครัฐสามารถออกนโยบายสนับสนุนประเด็นนี้ได้

“ถ้า third-party access เกิดขึ้นได้จริง ผมก็ไม่ต้องไปซื้อที่ดินใกล้กับโรงงานของลูกค้า ต้นทุนก็ถูกลง พื้นที่ตรงนั้นก็เอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้ ทำให้ค่าไฟถูกลง” ชัพมนต์กล่าว

นอกจากนี้ ชัพมนต์กล่าวว่า “ภาครัฐหรือผู้มีอำนาจต้องตระหนักว่าโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก เราเผชิญปัญหาที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้าเรายังทำงานแบบดั้งเดิม เช่น มองความมั่นคงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม เราคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้”

อ่านรายงานฉบับเต็มที่ Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid

ข่าวยอดนิยม

เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams)

“ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ” ศศิกานต์​ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำชี้แจงของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในประเด็นเรื่องโครงการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 จากกรณีโครงการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าในส่วนของโครงการที่ยังไม่ได้ลงนามในวันที่ 19 เมษายน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น โดยก่อนหน้านี้ มีโครงการที่ กฟผ. เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ และมีการเปิดเผยว่าในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีการลงนามเพิ่มอีก 3 สัญญา โดยยังเหลือที่ยังไม่ได้ลงนามอีก 16 สัญญา โดยกล่าวว่าที่ต้องลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้านั้นมาจากการที่มีเงื่อนไขกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย […]

JustPow ร่วมกับกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อตัวแทนคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้มีตัวแทนของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่
ประชาชนควรมีส่วนร่วมในแผน PDP จากระดับพื้นที่ ย้ำคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วย
หยุดเซ็นโรงใหม่ ชะลอโรงที่เซ็นไปแล้ว หนุนโซลาร์เซลล์

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้ สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่  สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า […]

ความไม่จำเป็นของโครงการเขื่อนปากแบง

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันไว้แล้วกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ โครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์  โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  […]

เงินค่าไฟไปไหนต่อ

สำรวจต่อจากแอปฯ ค่าไฟไปไหน