จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อรัฐบาลเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบแรก

หากรัฐเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากรอบแรกในวันที่ 19 เมษายน นี้ ค่าไฟก็จะไม่ลดลง

ก่อนหน้านี้ ครม. มีแนวคิดลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย โดยสั่งให้บอร์ด กฟผ. และ กกพ. ไปหาแนวทางแก้ปัญหาสัญญา Adder และ FiT รวมถึงสัญญา PPA ที่ทำให้รัฐเสียเปรียบ และสั่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ศึกษาและเสนอแนวทางปรับโครงสร้างระบบ Pool Gas เพื่อให้ราคาค่าไฟฟ้างวดปลายปี 2568 ถูกลง

โดยเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ประชุม กกพ. ได้มีมติเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ทบทวน และปรับปรุงต้นทุนค่าไฟฟ้าในส่วนค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ (Policy Expense) ซึ่งประกอบด้วย โครงการอุดหนุนส่วนต่างต้นทุน (Adder) และ มาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน Feed in Tariff (FiT) ที่อยู่ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) และกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กมาก (VSPP) โดยเงินส่วนนี้ถือเป็นภาระที่ส่งผ่านมาในค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟที (Ft) จำนวน 17 สตางค์/หน่วย หากตัดส่วนนี้ออกไปได้ ค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 3.98 บาท/หน่วย และหากนำมาคำนวณด้วยประมาณการใช้ไฟฟ้าตลอดปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้า 195,000 ล้านหน่วย ก็จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายในปีนี้ลงไปได้ 33,150 ล้านบาท

ในขณะที่ยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาว่าจะต้องทำอย่างไร หรือปรับลดส่วนไหนที่จะทำให้ค่าไฟลดลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ตามแนวคิดของ ครม. กลับกลายเป็นว่า รัฐกำลังจะลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากรอบแรก ซึ่งนอกจากจะทำให้ค่าไฟไม่ลดแล้ว ยังอาจจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย

จากข้อมูลของศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ออกมาเปิดเผยว่ารัฐบาลจะให้เอกชนที่ได้โควต้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้ลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเข้าระบบ (PPA) เข้ามาลงนามทั้งหมดภายในวันที่ 19 เมษายน 2568 นี้

โดยการเซ็นสัญญาซื้อไฟจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน จะตามมาด้วยการที่ภาครัฐจะต้องจ่ายค่า FiT หรือเงินอุดหนุนเพิ่มเติมที่รัฐจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้มันคือค่า Adder ก่อนจะเปลี่ยนค่า FiT ในปี 2557 (ปัจจุบันยังมีโรงไฟฟ้า SPP ที่ได้รับค่า Adder จำนวน 22 โครงการ ขณะที่ VSPP มีจำนวน 520 โครงการ และได้รับค่า FiT อีก 372 โครงการ) ซึ่งค่า Adder และ FiT คือการที่รัฐจ่ายเงินซื้อไฟฟ้าจากเอกชนในราคาที่สูงกว่าปกติเพื่อจูงใจให้เอกชนผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น เพื่อประเทศไทยจะได้มีไฟสะอาดมากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ก่อนปี 2565 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จะได้รับซื้อไฟฟ้าในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ยหน่วยละ 3.1617 บาท บวกกับค่า Adder หน่วยละ 8 บาทจากสัญญาที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2554 รวมแล้วภาครัฐรับซื้อไฟฟ้าหน่วยละ 11.1617 บาท ระยะสัญญากว่า 10 ปี ขณะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.2 บาท/หน่วยเท่านั้น ซึ่งค่า Adder/FiT ที่รัฐจ่ายเงินอุดหนุนเหล่านี้ก็จะถูกผลักเข้ามาอยู่ในบิลค่าของประชาชนในชื่อค่าใช้จ่ายของรัฐที่แฝงอยู่ในค่า Ft นั่นเอง

โดย 18 ปีที่ผ่านมา เงินอุดหนุนค่า Adder และ FiT ถูกส่งผ่านมาในบิลค่าไฟประชาชนแล้ว 462,477 ล้านบาท หรือหากดูเฉพาะค่า FiT ที่เก็บมาตั้งแต่ปี 2557 จะพบว่า คนไทยต้องจ่ายค่า FiT ในบิลค่าไฟไปแล้ว เป็นจำนวน126,331.47 ล้านบาท

ดังนั้นการที่รัฐจะลงนามเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากรอบแรกในส่วนของโครงการที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาในวันที่ 19 เมษายนนี้ ทั้งที่ตัวโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนนั้นถูกตั้งคำถามอย่างมาก ทั้งความโปร่งใส ทั้งการสร้างภาระค่าไฟในระยะยาวในแก่ประชาชนจากสัญญาที่ยาวนานถึง 20-25 ปี ไม่เพียงจะทำให้แนวคิดที่จะลดค่าไฟ ให้เหลือ 3.99 บาท/หน่วย โดยไปลดค่า Adder/FiT จะไม่เกิดขึ้น เพราะรัฐกำลังทำสวนทางคือเซ็นซื้อไฟฟ้าเพิ่มทำให้ต้องจ่ายค่า FiT เพิ่ม แต่ในขณะเดียวกันกลับจะทำให้เพิ่มไม่มีวันลดลงอีกด้วย จากค่า Adder/Fit ที่ผู้ใช้ไฟร่วมกันจ่ายไปแล้ว 462,477 ล้านบาท และจะต้องจ่ายเพิ่มอีกหลายแสนล้านบาทในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม

ปัญหาของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ปี 2565-2573 : https://justpow.co/article-re-biglot/

ลดค่าไฟ อย่าตัดแค่ค่า Adder/FiT : https://justpow.co/article-electric-bill/

ข่าวยอดนิยม

ช่วงนี้หลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกันว่าทำไมมันร้อนเหมือนซ้อมลงนรกได้ขนาดนี้ และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือบิลค่าไฟที่ทะลุเดือดไม่ต่างกับอากาศ เพราะต้องเปิดแอร์ฉ่ำๆ เพื่อดับร้อน  จากรายงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2567 เวลา 20.54 น. เกิดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) อยู่ที่ 34,443.1 เมกะวัตต์ ถือเป็นการทำลายสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2566 เวลา 21.41 น. ซึ่งเคยทำไว้ที่ 34,130.5 เมกะวัตต์ และคาดว่าในเดือนพฤษภาคมนี้ก็จะมีพีคอีกรอบ แม้ว่าจะเกิดตัวเลขการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว แต่ก็จะไม่เกิดผลกระทบใดๆ ในระบบการไฟฟ้า เพราะตัวเลขนี้ยังห่างไกลจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีในระบบ เพราะมีการสำรองไฟฟ้าไว้สูงจนถึงขั้นล้นเกิน โดยปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในระบบ อยู่ที่ 49,571.79 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นกำลังไฟฟ้าสำรองที่สูงถึง 43.92% ของความต้องการไฟฟ้าสูงสุด ฟังดูประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานดีสุดๆ ใช้ไฟพีคแค่ไหน ก็ยังมีไฟล้นเหลือสำรองไว้ ไม่ต้องกลัวว่าเปิดแอร์มากแค่ไหน ไฟในประเทศจะไม่พอ แต่รู้ไหมว่า ที่สำรองไว้จนล้นเกินน่ะ ใช่ว่าจะไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะมันบวกอยู่ในบิลค่าไฟเราแล้ว  หลายคนคงคิดว่า อ้าว…แล้วจะไม่สำรองไฟเลยเหรอ ถ้าไม่พอขึ้นมา ไฟดับจะทำยังไง […]

JustPow ร่วมกับกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อตัวแทนคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้มีตัวแทนของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่

ในปี 2567 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน จัดทำร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024) และมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่

เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นยังเป็นการเปิดให้แสดงความคิดเห็นผ่านใต้โพสต์เฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของ

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

ความไม่จำเป็นของโครงการเขื่อนปากแบง

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันไว้แล้วกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ โครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์  โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  […]

เงินค่าไฟไปไหนต่อ

สำรวจต่อจากแอปฯ ค่าไฟไปไหน

ไฟฟ้าไทย อยู่ในมือใคร? 

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า