CFNT เปิดผลวิจัยประเมินมูลค่าโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลในอนาคต และเสวนาแผน PDP 2024

ผลการศึกษาประเมินมูลค่าชี้ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินบางส่วนจะต้องปิดตัวลงก่อนสิ้นอายุทางเศรษฐกิจ เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด จนกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) คิดเป็นมูลค่าตั้งแต่ 3.6 ถึง 5.3 แสนล้านบาท ขณะที่วงเสวนาแสดงความกังวลต่อร่างแผน PDP2024 ว่า จะสามารถนำประเทศไทยให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 ได้หรือไม่

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 67 เวลา 08:30 – 12:30 น. ที่ ห้องซากุระ ชั้น 4 โรงแรมนิกโก้ กรุงเทพฯ เครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (Climate Finance Network Thailand หรือ CFNT) ได้จัดงานแถลงเปิดตัวเครือข่ายพร้อมผลงานวิจัยชิ้นแรก “ชำระบัญชีฟอสซิล: การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย” และเสวนาในหัวข้อ “เพิ่มพลังเพื่อรับมือโลกรวน: แผนพลังงานชาติฉบับใหม่และกฎหมายโลกรวน” ผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) นที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน กรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา หุ้นส่วน บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด และ รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย

สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ CFNT กล่าวเปิดงานโดยแนะนำภารกิจของเครือข่ายการเงินเพื่อรับมือกับภาวะโลกรวน (CFNT) ที่มีเป้าหมายเพื่อจุดประกายเรื่องการเงินกับการรับมือภาวะโลกรวน ด้วยวิธีการนำเสนอผ่านงานวิจัยที่เชื่อมโยงกับประโยชน์สาธารณะและสอดคล้องกับภาคการเงินและภาคนโยบายด้านการรับมือด้านสภาพภูมิอากาศที่คำนึงเรื่องความยุติธรรมทางสังคม และความยุติธรรมทางด้านภูมิอากาศ (Climate Justice) นอกจากนี้ CFNT ยังต้องการสร้างเครือข่ายสมาชิกจากทุกภาคส่วนที่มีความสนใจเรื่องการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) อีกด้วย สฤณีระบุว่าสถานการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศไม่ใช่อยู่ใน ‘ภาวะโลกรวน’ แต่เป็น ‘ภาวะโลกเดือด’ ฉะนั้น CFNT จึงมุ่งศึกษาประเด็นเรื่องแนวทางการเงินในประเทศไทยที่จะขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ คือจะทำอย่างไรที่จะทำให้ประเทศไทยในฐานะเป็นประเทศกำลังพัฒนาสามารถแข่งขันในตลาดสากลที่และทุกประเทศกำลังพัฒนาประเทศไปสู่สังคม Net Zero ซึ่งเป็นเป้าหมายของเศรษฐกิจทั่วโลก

“สังคม Net Zero เป็นอุดมคติที่จะไปให้ถึงในปัจจุบัน แต่ความเป็นจริงแล้วมีนักคิดบอกว่าเราต้องเผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายลง อาจต้องไปไกลกว่าการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมคาร์บอนสูงไปสู่คาร์บอนต่ำ โดยต้องคิดว่าจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างไร หรือคำใหม่ Regenerative Economy คือเศรษฐกิจที่ฟื้นฟู โอบอุ้ม งอกเงย ไม่ใช่แค่การพยายามทำให้แย่น้อยลงเท่านั้น”

สฤณี กล่าวต่อว่า สถานการณ์ด้าน Climate Finance หรือการเงินที่รับมือกับภาวะโลกรวนประกอบด้วย 2 ส่วน หนึ่งคือการบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกรวน และสองการปรับตัวกับภาวะโลกรวน จำนวนตัวเลขล่าสุดข้อมูลจาก Climate Policy Initiative ประเมินว่าจำนวนเงินที่ใช้รับมือกับภาวะโลกรวนทั่วโลกอยู่ที่ราว 1.27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่จะใช้เรื่องของการบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานและการขนส่งซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ปล่อยคาร์บอนสูงการศึกษายังระบุอีกว่างบประมาณดังกล่าวไม่เพียงพอในการรับมือกับภาวะปัญหาโลกรวน รายงานของ IPCC ระบุว่าถ้าจะไปให้ถึงเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส เราต้องใช้จำนวนเงินอย่างน้อย 5 เท่าของปัจจุบัน หรือประมาณ 8.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นี่จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายของนักการเงินในปัจจุบัน เพราะการดำเนินการแบบเดิมอาจสร้างความเสียหายที่เกิดจากภาวะโลกรวนที่มีมูลค่ามหาศาลหลายเท่าตัว

ในการแถลงผลงานวิจัยเรื่อง“ชำระบัญชีฟอสซิล : การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย” รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ หัวหน้าทีมวิจัย CFNT กล่าวถึงประเด็นสำคัญของผลงานวิจัยว่า หากประเทศไทยต้องการบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสที่จำกัดอุณหภูมิให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หรือบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2065 พันธกรณีที่ระบุในเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDCs) โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและถ่านหินบางส่วนจะต้องปิดตัวลงก่อนสิ้นอายุทางเศรษฐกิจพร้อมกับเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลเหล่านี้กลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) คิดเป็นมูลค่าตั้งแต่ 3.6 ถึง 5.3 แสนล้านบาท

“โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าถ่านหินมีอายุประมาณ 25 ปี แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎระเบียบการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้ โรงฟ้าเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้ครบ 25 ปี เช่นถ้าใช้งานไปได้ 10 ปีโรงไฟฟ้าก็ต้องปิด อย่างนี้เราจะเรียกโรงไฟฟ้าดังกล่าวว่าเป็น stranded assets” รพีพัฒน์ กล่าว
“ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เราต้องยอมเสียเพราะในอีก 30 หรือ 50 ปีข้างหน้า ความพยายามรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะบีบให้ตัวโครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าสูญประโยชน์ทางเศรษฐกิจ”

ในส่วนของร่างแผน PDP2024 นั้น รพีพัฒน์ มีความเห็นว่าร่างแผน PDP 2024 หากเปรียบเทียบกับ 2018 ดูจะมีทิศทางที่ดีกว่าเดิม อย่างตัวเลขของโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ ร่างแผน PDP 2024 จะไม่มีแล้ว และในส่วนของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่ก็ลดลงไป 1,300 เมกะวัตต์ แต่เมื่อได้นำตัวเลขในแผน PDP 2024 มาคํานวณจะได้ผลว่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต (stranded assets) ไม่ได้ลดลงจนเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนรพีพัฒน์มีข้อสังเกตต่อร่างแผน PDP2024 ดังนี้การประเมินมูลค่าสินทรัพย์สูญค่าในอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในประเทศไทย

1) ความไม่สอดคล้องกันของร่างแผน PDP2024 กับแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (Thailand’s Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy : LT-LEDS) ร่างแผน PDP2024 นั้นสิ้นสุดที่ปี 2037 โดยระบุว่ามีสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 51% แต่แผน LT-LEDS ระบุว่าปี 2040 จะต้องมีพลังงานหมุนเวียน 68% สิ่งนี้น่าจะเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพลังงานภายใน 3 ปี

2) ร่างแผน PDP2024 ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนมหาศาลจากเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ซึ่งปรากฏในแผน LT-LEDS โดยต้นทุนในส่วนนี้หากไม่มีการเตรียมการที่ชัดเจนอาจทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและเสี่ยงที่ภาระดังกล่าวจะส่งผ่านมายังประชาชน

3) หากยังเดินหน้าตามแผน PDP2024 ต่อไปย่อมต้องมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ แต่ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการลงทุนไปแล้วแต่อนาคตธุรกิจเหล่านี้จะต้องเจอกฎเกณฑ์ข้อบังคับใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจบังคับใช้ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งอาจทำให้สินทรัพย์ทั้งห่วงโซ่อุปทานกลายเป็นสินทรัพย์สูญค่าในอนาคต

การที่ประเทศไทยประกาศว่าเราจะเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 และปี 2065 เราจะลดก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งแนวโน้มของประเทศไทยยังคงตกเป้า เรายังทำไม่ได้ตามข้อตกลงปารีส ในปี 2025 ประเทศไทยจะต้องเสนอแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นในเวที COP30 ซึ่งจะกระทบต่อทิศทางนโยบายภายในประเทศอย่างแน่นอน”

เพิ่มพลังเพื่อรับมือโลกรวน: แผนพลังงานชาติฉบับใหม่และกฎหมายโลกรวน

รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ภาคส่วนที่มีบทบาทสำคัญเพื่อการรับมือโลกรวน คือ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การติดตามแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ประกอบด้วยหลายแผน ได้แก่ แผนกำลังการผลิตไฟฟ้าหรือ PDP2024 แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) แผนจัดหาก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan) โดยแผนทั้ง 3 นี้ คือส่วนประกอบของการนำไปสู่การลดคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคพลังงานทั้งหมด


ประเด็นสำคัญคือการมองเห็นทิศทางพลังงานของประเทศไทยโดยเฉพาะแผน PDP2024 ซึ่งถือเป็นแผนหลัก ในเนื้อหายังเน้นอยากจะทำใประเทศไทยมีพลังงานระบบไฟฟ้าที่มีความมั่นคง การมีไฟฟ้าราคาถูกและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ และเรื่องที่ดีในแผนนี้ที่แตกต่างจากแผน PDP ที่ผ่านมาคือการขยับเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน แต่หากดูในรายละเอียดจะเห็นว่าการขยับนั้นยังน้อยหรือไม่แรงพอที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น

“ความมั่นคงทางพลังงานไม่ได้หมายถึงไฟไม่ดับอย่างเดียว แต่หมายถึงเราสามารถพึ่งพาตนเองในสภาวะวิกฤตต่างๆได้ด้วยเช่นกัน..นอกจากนี้ในแผน PDP2024 จะมีการเพิ่มโรงไฟฟ้าสำรองเป็นฟอสซิลมากถึง 6,300 เมกะวัตต์ ในขณะที่ของที่มีอยู่กำลังกลายเป็น stranded assets สิ่งนี้จะเห็นว่าจะเป็นปัญหาที่มากขึ้นในอนาคต”

ประเด็นที่ควรพิจารณาทบทวนแผน PDP2024 คือความไม่สามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังจากแผนนี้ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยเสียความมั่นคงบางมิติ เช่น การเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาไฟฟ้านำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้น และการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงแนวก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) การเพิ่มโรงไฟฟ้าสำรองที่เป็นฟอสซิลมากถึง 6,300 เมกะวัตต์ การเพิ่มต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็นด้วยไฮโดรเจนและเขื่อนต่างประเทศ และแม้จะทำเรื่องความยั่งยืนแต่ก็กำหนดเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนเพียง 51% ซึ่งยังไม่ท้าทายและตอบโจทย์ NDC ของไทย และยังไกลจากเป้าหมายในระดับโลก

ในระยะสั้นประเทศไทยควรมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ อย่างน้อย 30% เพื่อให้ทันการณ์ต่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 แต่หากดูจากแผน PDP 2024 จะเห็นว่าประเทศไทยทำได้เพียง 10% ฉะนั้นแผน PDP ถ้ามองในระยะ 6 ปีข้างหน้าก็ยังเป็นเป้าหมายที่ต่ำเกินไป

นที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากเราไม่มีแผน PDP ที่ชัดเจนสุดท้ายประเทศไทยจะแข่งขันทางเศรษฐกิจไม่ได้ ถ้าลูกค้าบอกว่าเรายังมีพลังงานสะอาดไม่พอเขาก็ไปซื้อประเทศอื่น บทบาทสำคัญของการกำกับพลังงานตนมองว่าเป็นคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของประเทศที่จะต้องมีความพยายามอย่างหนัก เพราะแผน PDP2024 กับ 2018 ยังไม่มีความแตกต่างมากนัก

หากทบทวนวิกฤตราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งขึ้นสูงในปี 2018 รัฐบาลก็ไม่ได้นำมาเป็นบทเรียนในแผนล่าสุดเพื่อการรับมือเรื่องต้นทุนการนำเข้าพลังงาน นอกจากนี้หากดูในรายละเอียดจะเห็นว่าแผน PDP2024 ไม่ได้มีเป้าหมายสอดคล้องไปด้วยกันกับแผน NDC และแผน AEDP ฉะนั้นในฐานะภาคเอกชนจึงมีความสับสนของแผนต่างๆ ด้านพลังงานของภาครัฐ


ประเทศไทยตั้งเป้าว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 แต่อย่าลืมว่าเป้าของเอกชนนั้นไม่ใช่เป้าของรัฐ เป้าหมายของเอกชนคือ RE100 มาจาก Renewable 100% หรือพลังงานหมุนเวียนร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ภาคเอกชนทำแล้วแต่ไม่ได้ทำเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของรัฐบาลไทยเป็นเป้าหมายจากลูกค้า ประเด็นสำคัญคือถ้าประเทศไทยไม่มีแผนที่ชัดเจนเรื่องพลังงานก็จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในอนาคตของประเทศไทย ยกตัวอย่าง เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นฐานผลิตให้ต่างประเทศก็มีความต้องการที่จะใช้ไฟ RE100 พร้อมกับมีความคาดหวังว่าจะเห็นความคืบหน้าทุกปี แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ชัดเจน ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม นำหน้าไทยไปแล้วในเรื่องนี้

สมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า แผน PDP2024 ยังไม่ได้มีการใส่ในมิติอื่นเข้าไป วันนี้ไม่ใช่เรื่องแค่ว่าการมีไฟฟ้าคือความมั่นคงแต่โลกต้องการพลังงานสะอาดและราคาถูก ฉะนั้นแผน PDP ต้องสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศต้องเชื่อมไปถึง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงเทคโนโลยีที่ใช้เรื่องพลังงาน ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า (LCOE) ซึ่งปัจจุบันต้นทุนพลังงานหมุนเวียนใกล้เคียงกับพลังงานฟอสซิล อนาคตเราอาจทำโรงงานไฟฟ้าพลังงานสะอาดได้ถูกกว่าโรงไฟฟ้าฟอสซิล สิ่งเหล่านี้เมื่อไม่ได้อยู่ในแผน PDP ประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ส่วนแผนที่มีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ก็เสี่ยงที่จะกลายเป็น stranded assets สุดท้ายก็จะส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟที่สูงขึ้น

กรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา หุ้นส่วน บริษัท เดอะ ครีเอจี้ จำกัด กล่าวว่า วันนี้ทุกคนในโลกรับรู้ถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทุกประเทศต้องลดก๊าซเรือนกระจกตามกำลังที่ทำได้ตามข้อตกลงปารีส แต่ประเทศไทยควรจะทะเยอทะยานมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา ในฐานะที่ดูแลกระบวนการรับฟังความคิดเห็น พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับทุกภาคส่วนในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอสำหรับขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ กฎหมายฉบับนี้ประกอบด้วยเรื่องของนโยบาย ความเสี่ยงทางกายภาพ และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ พร้อมกับการใช้กลไกทางเศรษฐศาสตร์และกลไกทางการเงินเข้ามาช่วยรับมือปัญหา เช่น การจัดเก็บค่าธรรมเนียมและอื่นๆตามสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง หลักการคือใครผลิตเยอะต้องจ่ายเยอะ นอกจากนี้ต้องสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียวโดยการตั้งกองทุนเพื่ออุดหนุนให้ผู้มีรายได้น้อยซึ่งได้รับผลกระทบในระดับสูง ตนจึงอยากให้กฎหมายฉบับนี้บังคับใช้จริงเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรร

ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการกำกับกิจการพลังงาน กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ได้เป็นองค์กรที่ทำนโยบายโดยตรงแต่มีหน้าที่ให้ความเห็นและติดตาม ข้อสังเกตต่อแผนพลังงานชาติ (PDP2024) ซึ่งในขณะนี้กำลังรวมประกอบแผนย่อยและแผนพลังงานชาติยังไม่ได้ออกมาโดยตรง ต้องกล่าวว่า แผน PDP และแผน AEDP มุ่งตอบโจทย์เรื่องโลกร้อนแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายเดียว ฉะนั้นการตอบโจทย์เรื่องความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Net Zero นั้นไม่ใช่โจทย์เดียวกับแผนพลังงานชาติ แผน PDP ฉบับใหม่ที่จะออกมามุ่งตอบโจทย์เรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน หากเปรียบเทียบระหว่างแผน PDP2018 กับแผน PDP2024 ตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะต่างกันอย่างชัดเจน

ภาคส่วนด้านพลังงาน เป็น 70% ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ยังมีอีก 30% ที่ไม่ได้มาจากภาคพลังงาน PDP จึงไม่ได้มุ่งเรื่องเฉพาะ Net Zero เพราะยังมีช่องว่างอีก 30% ที่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนอื่นๆ เช่น เรื่องของเสียในประเทศ ฉะนั้น ถ้าเราจะทำทั้งหมดให้ครอบคลุมเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะต้องมีเรื่องอยู่นอกเหนือแผน PDP ในเวทีสากลเราจะเจอเรื่อง Trilemma ที่จะต้องดำเนินการด้านพลังงานให้ตอบโจทย์ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ทั้ง 3 เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ในแผน PDP ของไทยเช่นกัน แต่การเปลี่ยนผ่านทั้งหมดด้านพลังงานกลายเป็นโจทย์สำคัญที่สามารถทำได้แผนพลังงานชาติต้องมารองรับในส่วนนี้


อีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้ามคือ deregulation กล่าวคือผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและการแก้ปัญหาวิกฤตภูมิอากาศ สุดท้ายนี้ประเทศไทยมีความท้าทายด้านโครงสร้างกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยซึ่งปัจจุบันอยู่ในรูปแบบ Enhanced Single Buyer Model (ESB) ซึ่งใช้มานานกว่า 21 ปีมาแล้ว นับเป็นโจทย์โครงสร้างดังกล่าวสอดรับกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานหรือไม่

หมายเหตุ: สามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการนำเสนอได้จากลิงก์นี้ https://shorturl.at/PpjOs

ข่าวยอดนิยม

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net Zero จะรักสิ่งแวดล้อมยังไง

ทั้งที่แผน PDP สำคัญระดับชาติ กำหนดทิศทางไฟฟ้าประเทศ
ประชาชนควรมีส่วนร่วมในแผน PDP จากระดับพื้นที่ ย้ำคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมด้วย
ครบรอบ 1 ปีการเลือกตั้งทั่วไป ชวนเช็กความคืบหน้านโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลหาเสียงไว้

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความไม่จำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ

แคมเปญ #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ #หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา

หวั่นแผน PDP ใหม่ไร้เสียงประชาชน ชง กมธ.พลังงาน ดันตัวแทนภาคประชาสังคมนั่งกรรมการร่างแผน PDP 

JustPow ร่วมกับกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อตัวแทนคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้มีตัวแทนของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่

ตามรอยประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Shine : โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงคือโครงการอะไร แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวยังไงกับการสร้างโรงไฟฟ้า 

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine