ส่วนแบ่งการตลาดของโรงไฟฟ้าเอกชนในการผลิตไฟฟ้า

แหล่งที่มาไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดคือ การซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ซึ่งเดือนธันวาคม 2566 มีกำลังการผลิตของเอกชนคิดเป็น 67.27% โดยการรับซื้อจากโรงไฟฟ้าอิสระขนาดใหญ่ (IPP) โรงไฟฟ้าอิสระขนาดเล็ก (SPP) และจาก สปป.ลาว

เมื่อคำนวณกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นในชั้นแรก โดยไม่ได้พิจารณาการถือหุ้นโดยอ้อมของบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการนั้น จะพบว่ามี 7 บริษัทที่มีสัดส่วนเกิน 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เอกชนเป็นผู้ผลิต

โรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ พบว่าบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) มีสัดส่วนการผลิตมากที่สุดคิดเป็น 22.13% รองลงมาคือ กลุ่มบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) 21.86% กลุ่มบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) 7.34% กลุ่มบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) (EGCO) 9.04% กลุ่มบริษัทบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) 5% กลุ่มบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) 0.53% และบริษัทอื่นๆ รวม 34.01%

ขณะที่พลังงานที่มาจากถ่านหิน พบว่า บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) มีสัดส่วนการผลิตมากที่สุดคิดเป็น 32.81% รองลงมาก็คือ EGCO 17.5% ตามด้วย GPSC 15.83% และ RATCH 15.31%  และบริษัทอื่นๆ รวม 18.55%

เมื่อสำรวจข้อมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น ชีวมวล แสงอาทิตย์ และลม ยังพบว่าทั้ง 7 บริษัทนี้ก็กระจายตัวอยู่ด้วยเช่นกัน  เช่น ไฟฟ้าที่มาจากพลังงานน้ำ พบว่าบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) มีสัดส่วนการผลิตคิดเป็น 11.83% ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลม มี RATCH มีสัดส่วนการผลิต 6.76% และ EGCO 5.63%  โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มี EGCO สัดส่วนการผลิต 8.41% โรงไฟฟ้าชีวมวล มี GULF 4.22%

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไทยติดกับดักเชื้อเพลิงฟอสซิล แผนพลังงานสวนทางเป้าหมาย Net Zero 2050

วันนี้ (7 พ.ย. 2025) JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงาน “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

พืชผลการเกษตรและคุณภาพชีวิตรอบโรงไฟฟ้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

น้ำจะพอไหม หากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ต้องใช้น้ำจากคลองระบม 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี 

โรงไฟฟ้าประเภทความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า จะต้องมีการใช้น้ำหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าความร้อนเพื่อระบายความร้อนออกจากระบบ โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ น้ำจะถูกสูบเข้ามาเพื่อใช้หล่อเย็นในระบบปิด และจะไหลเวียนในระบบเพื่อลดอุณหภูมิของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กังหันไอน้ำหรือหม้อไอน้ำ ก่อนจะนำกลับไปใช้ใหม่หรือปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำ เช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พบว่าโครงการจะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลบ.ม./วัน หรือประมาณ 4.32 ล้านลบ.ม./ปี โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลบ.ม./วัน นอกจากนี้ในเอกสาร EIA ยังระบุว่าน้ำที่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย นั้นได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ในกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำและบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย […]