เขื่อนโขงของไทยในลาว – บททดสอบ “ธุรกิจยั่งยืน” ที่ไทยยังไม่ผ่าน

สฤณี อาชวานันทกุล
หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย

ในยุคแห่ง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ธนาคารพาณิชย์น้อยใหญ่ทั่วโลกต่างประกาศรับมาตรฐานและหลักการสากลต่างๆ ด้าน “ธุรกิจยั่งยืน” มาประดับบารมี ขับเคลื่อนกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร และสร้างการยอมรับจากสังคม

อย่างไรก็ดี จากมุมมองของ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand, “แนวร่วมฯ”) ซึ่งผู้เขียนเป็นหัวหน้าทีมวิจัย หลังจากที่ติดตามการแสดงความรับผิดชอบของธนาคารต่อประเด็น ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ต่างๆ มานานกว่า 8 ปี แนวร่วมฯ มองว่า ธนาคารไทยโดยรวมยัง “ล้มเหลว” ในการเปลี่ยนผ่านโมเดลการทำธุรกิจ ตามหลักการและครรลองของ “ธุรกิจยั่งยืน” ได้อย่างแท้จริง 

ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารไทยหลายแห่งยังคงให้การสนับสนุนการโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในแม่น้ำโขง โดยปราศจากกระบวนการกลั่นกรองสินเชื่อที่รอบด้าน ยังไม่ให้ความสำคัญกับ “ประเด็นเสี่ยง ESG ในสาระสำคัญ” (material ESG risks) ตามมาตรฐานสากลอย่างเพียงพอ และยังไม่มีการกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบให้ผู้ดำเนินโครงการปฏิบัติตามอย่างเพียงพอ

เหตุผลที่แนวร่วมฯ มองว่า เขื่อนโขงคือ “บททดสอบ” สำคัญของ “ธุรกิจยั่งยืน” ก็คือ เขื่อนขนาดใหญ่ที่สร้างในแม่น้ำโขงสายประธานสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมสูงมาก โดยเฉพาะในยุคโลกเดือดที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มความเสี่ยงใหม่ๆ ให้กับการก่อสร้างและดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ทำให้พลังงานชนิดนี้ไม่ควรถูกมองเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการผลิตพลังงานอีกต่อไป ยังไม่นับว่าประเทศจีนก็สร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนบนไปแล้วถึง 14 เขื่อน

อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่า “ความไม่ยั่งยืน” ของเขื่อนโขงที่มีการก่อสร้างเขื่อนใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง จะโทษธนาคารฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ แต่ควรต้องโทษความย่อหย่อนและไม่ใส่ใจมากพอของรัฐไทย รวมถึงขีดจำกัดและวิธีตีความในกระบวนการยุติธรรมด้วย ที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้

ผู้เขียนสรุป “ช่องว่าง” ของกระบวนการยุติธรรม มาตรฐาน Thailand Taxonomy และการใช้มาตรฐาน Equator Principles ที่ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในลาวยังคงไร้กลไกกำกับความเสี่ยง ESG ที่เหมาะสม เป็นตารางได้ดังนี้ ก่อนจะลงรายละเอียดทีละหัวข้อต่อไป

มาตรฐาน/กระบวนกา“ช่องว่าง”ผลลัพธ์
ศาลปกครอง (ฟ้องหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติโครงการ/สัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนโขง)ศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่าโครงการไม่อยู่ในเขตอธิปไตยไทย ไม่สามารถนำกฎหมายไทยมาใช้ได้ (คดีเขื่อนปากแบง, คดีเขื่อนไซยะบุรี) / สัญญาซื้อขายไฟฟ้าไม่ได้สร้างผลกระทบทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อม (คดีเขื่อนไซยะบุรี)คำตัดสินศาลบ่งชี้ว่า ผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ในลาว จะไม่อยู่ใต้การกำกับดูแลใดๆ ของรัฐไทย และศาลไทยทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้จะใช้เงินธนาคารไทยสร้างและขายไฟฟ้าส่วนใหญ่ให้กับไทย
มาตรฐาน Thailand Taxonomyโรงไฟฟ้าพลังน้ำจัดเป็นกิจกรรม “เขียว” ตราบใดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เกินเพดานที่กำหนด แต่เกณฑ์ Do No Significant Harm (DNSH – ต้องไม่กระทบต่อเป้าหมายอื่นด้านสิ่งแวดล้อม) ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ไม่นำข้อกำหนดใน EU Taxonomy มาใช้อย่างครบถ้วน ทั้งที่การจัดทำ Taxonomy ก็อ้างอิง EU Taxonomy / ข้อกำหนดใน EU Taxonomy สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่สำคัญ เช่น “ผู้ดำเนินโครงการจัดทำการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำทั้งหมดในลุ่มน้ำเดียวกัน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อถิ่นที่อยู่อาศัยที่ได้รับการคุ้มครอง พันธุ์พืชและสัตว์ที่อาศัยแหล่งน้ำ รวมถึงการวิเคราะห์เส้นทางอพยพของปลา ตลอดจนประเมิน ผลกระทบสะสม ของโครงการใหม่ดังกล่าว กับโครงการอื่นๆ ที่มีอยู่เดิมหรืออยู่ในแผนการก่อสร้างในลุ่มน้ำเดียวกัน”มาตรฐาน Thailand Taxonomy ในส่วนโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ยังไม่ได้มาตรฐานสากล (เทียบเท่า EU Taxonomy) เปิดช่องให้เกิดการ “ฟอกเขียว” (greenwash) – โรงไฟฟ้าพลังน้ำอาจอ้างว่าตัวเองเป็นกิจกรรม “เขียว” ตาม Thailand Taxonomy ทั้งที่อาจก่อผลกระทบสูงต่อลุ่มน้ำ (watershed) และมีส่วนทำให้ผลกระทบสะสม (cumulative impacts) กับเขื่อนอื่นๆ ที่มีอยู่เดิมสูงขึ้น เนื่องจาก Thailand Taxonomy ไม่ได้กำหนดให้ประเมินผลกระทบเหล่านี้ แตกต่างจาก EU Taxonomy ซึ่งกำหนดให้ทำอย่างชัดเจน
การใช้มาตรฐาน Equator Principles กับโครงการเขื่อนหลวงพระบาง และเขื่อนปากแบง (ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รับหลักการเป็นธนาคารแรกในไทย)ทั้งโครงการเขื่อนหลวงพระบาง และโครงการเขื่อนปากแบง ไม่มีการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน (human rights impacts) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate risks) ต่อการดำเนินโครงการอย่างครอบคลุมและรอบด้าน ทั้งที่เป็นข้อกำหนดสำคัญใน Equator Principles / การประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนและผลกระทบสะสมของทั้งสองโครงการไม่สมบูรณ์ / ธนาคารเจ้าหนี้ไม่กำหนดให้ผู้ดำเนินโครงการมีมาตรการรับมือกับความเสี่ยงสำคัญเฉพาะพื้นที่ (ความเสี่ยงต่อพื้นที่มรดกโลกในกรณีเขื่อนหลวงพระบาง และความเสี่ยงที่ปัญหาสารพิษจากเหมืองต้นน้ำในเมียนมาจะรุนแรงขึ้นใน “แอ่งพิษ” ในกรณีเขื่อนปากแบงมาตรฐาน Equator Principles แม้จะถือเป็น “มาตรฐานขั้นสูง” ในการกลั่นกรองและดำเนินสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ (project finance) ยังมีสถานะเพียง “มาตรฐานโดยสมัครใจ” ที่ไม่มีกลไกกำกับหรือตรวจสอบว่าสถาบันการเงินประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้อย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ – ในเดือนกันยายน 2567 เมื่อแนวร่วมฯ ติดต่อสำนักงานใหญ่ Equator Principles (EP) ต่อกรณี “ช่องว่าง” ของการปฏิบัติตามมาตรฐาน ในกรณีเขื่อนหลวงพระบาง ได้รับคำตอบว่า “สำนักงาน EP ไม่ทบทวนหรือให้ความเห็นใดๆ ต่อประสิทธิผลของการนำ EP ไปประยุกต์ใช้โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก EP แต่ละแห่ง”

รายละเอียดของ “ช่องว่าง” ข้างต้นทั้งสามข้อมีดังต่อไปนี้

1. “ช่องว่าง” ของการกำกับดูแลของรัฐและกระบวนการยุติธรรมไทย

ที่ผ่านมามีคำพิพากษาศาลปกครอง 2 คดี ที่เกี่ยวกับเขื่อนโขงขนาดใหญ่ในประเทศลาว 

คดีแรก เริ่มตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2560 ตัวแทนกลุ่มรักษ์เชียงของและตัวแทนเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง ได้ยื่นฟ้องอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ต่อศาลปกครอง โดยขอให้ศาลปกครองพิพากษาหรือมีคำสั่งให้เพิกถอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าปากแบง และความเห็นต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการส่งไปยังคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เนื่องจากการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมาไม่ครอบคลุมและละเลยดำเนินการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย รวมทั้งการแจ้งข้อมูลและการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเหมาะสม การรับฟังความคิดเห็นอย่างเพียงพอและจริงจัง การแปลเอกสารเป็นภาษาไทยเกี่ยวกับโครงการทั้งหมด และการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสังคม ทั้งในฝั่งประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากอันตรายข้ามพรมแดน 

คดีนี้สู้จนถึงชั้นศาลปกครองสูงสุด โดยศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 “ไม่รับฟ้องคดี” เขื่อนปากแบง โดยสรุปคำสั่งศาลได้ว่า โครงการนี้ตั้งอยู่ในประเทศลาว จึงไม่สามารถนำกฎหมายไทยมาบังคับใช้ และรัฐไทยก็ไม่มีอำนาจในการอนุมัติ อนุญาต หรือเพิกถอนโครงการดังกล่าวได้

คดีที่สอง สู้กันถึงชั้นศาลปกครองสูงสุดอีกเช่นกันโดยใช้เวลายาวนานถึง 10 ปี เริ่มจากในปี พ.ศ. 2555 ชาวบ้านสัญชาติไทย 37 คนเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐไทย 5 แห่งที่ทำการอนุมัติสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อนไซยะบุรี ประเทศลาว กล่าวหาว่าโครงการดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้านริมฝั่งโขง คดีนี้สุดท้ายศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ในวันที่ 17 สิงหาคม 2565 โดยให้เหตุผลว่า เขื่อนไซยะบุรีตั้งอยู่นอกเขตอำนาจอธิปไตยของไทย “จึงมิได้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทย” ส่วนการที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนดังกล่าวนั้น ก็ “ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีโดยตรง …อีกทั้งในขณะทำสัญญาก็มิได้มีกฎหมายกำหนดให้การจัดซื้อไฟฟ้าต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม การทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าตามกรณีพิพาท จึงไม่จำต้องประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และไม่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนดำเนินการโครงการ”

ผู้เขียนเห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าวของศาลปกครองสูงสุดมีลักษณะ “กำปั้นทุบดิน” เนื่องจากก็แน่นอนว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (หรือสัญญาใดๆ ก็ตาม) เป็นเพียงข้อตกลงซิ้อขายบนกระดาษ ไม่ใช่ตัวโครงการ ดังนั้นจึงไม่อาจสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมใดๆ ได้ แต่ถ้าไม่มีสัญญาซื้อขายดังกล่าว โครงการก็ย่อมไม่เกิด! 

2. “ช่องว่าง” ของมาตรฐาน Thailand Taxonomy 

Thailand Taxonomy หรือการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เป็นมาตรฐานสำคัญที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะช่วยขับเคลื่อน “เศรษฐกิจเขียว” ได้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ดี แนวร่วมฯ ได้เสนอข้อคิดเห็นและข้อสังเกตว่าด้วยความไม่เพียงพอของมาตรฐานดังกล่าว รวมถึงในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ให้กับคณะทำงาน Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 เมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา (หลังจากนั้นแนวร่วมฯ ได้ส่งข้อเสนอแนะต่อ Thailand Taxonomy ระยะที่ 2 ด้วย แต่โรงไฟฟ้าพลังน้ำจัดอยู่ในภาคพลังงาน ซึ่งอยู่ในระยะที่ 1 ผู้เขียนจึงจะไม่พูดถึงข้อสังเกตต่อ Taxonomy ระยะที่ 2 ในบทความนี้) 

ลักษณะ “ความไม่เพียงพอ” ของ Thailand Taxonomy ที่สุ่มเสี่ยงจะเปิดช่องให้เกิดการ “ฟอกเขียว” โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ สรุปสั้นๆ ได้สองข้อดังนี้ (อ่านข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของแนวร่วมฯ ทั้งหมดได้จากหน้านี้บนเว็บไซต์ Fair Finance Thailand

ประการแรก ถึงแม้ Thailand Taxonomy จะเพิ่มเติมเงื่อนไข Do No Significant Harm (DNSH หมายความว่า กิจกรรมที่ผ่านเกณฑ์ทางเทคนิคว่า “เขียว” (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เกินเพดานที่กำหนด) ยังต้องไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมข้ออื่นๆ เช่น การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ การป้องกันและควบคุมมลพิษ ฯลฯ) สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำบางประเด็น หลังจากที่แนวร่วมฯ ส่งข้อเสนอแนะต่อร่าง Taxonomy ก็ตาม แต่เกณฑ์ DNSH ในฉบับสมบูรณ์ก็ยังคงไม่รัดกุมเพียงพอ โดยเฉพาะยังไม่นำเกณฑ์ใน EU Taxonomy ที่เกี่ยวข้องมาใช้ทั้งหมด โดยเฉพาะข้อสำคัญ – “ผู้ดำเนินโครงการจัดทำการประเมิน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งน้ำทั้งหมดในลุ่มน้ำเดียวกัน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อถิ่นที่อยู่อาศัยที่ได้รับการคุ้มครอง พันธุ์พืชและสัตว์ที่อาศัยแหล่งน้ำ รวมถึง การวิเคราะห์เส้นทางอพยพของปลา ตลอดจนประเมิน ผลกระทบสะสม ของโครงการใหม่ดังกล่าว กับโครงการอื่นๆ ที่มีอยู่เดิมหรืออยู่ในแผนการก่อสร้างในลุ่มน้ำเดียวกัน” (ตัวเอนเน้นโดยผู้เขียน)

ประการที่สอง ถึงแม้ Thailand Taxonomy จะกำหนดว่ากิจกรรมที่ผ่านเกณฑ์ “เขียว” หรือ “เหลือง” ทางเทคนิค ยังต้องทำตามเกณฑ์ DNSH และ Minimum Social Safeguard (ป้องกันผลกระทบทางสังคม) แต่มาตรฐานตัวนี้ก็อนุญาตให้ผู้ดำเนินโครงการสามารถจัดทำ “แผนการเยียวยา” (remedial plan) และให้ระยะเวลาผ่อนผัน (grace period) นานถึง 3 ปี สำหรับโครงการสีเขียวและสีเหลืองที่ไม่ผ่านเกณฑ์ DNSH และ/หรือ MSS 

แนวร่วมฯ เห็นว่าการอนุโลมให้ผู้ดำเนินโครงการส่ง “แผนการเยียวยา” ดังกล่าว และให้ “ระยะเวลาผ่อนผัน” (ที่จะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ DNSH / MSS) นานถึง 3 ปีนั้น นอกจากจะขาดการอ้างอิงมาตรฐานหรือหลักการสากลใดๆ แล้ว ยังสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเปิดช่องให้เกิดการ “ฟอกเขียว” (greenwash) ขนานใหญ่ โดยผู้ดำเนินโครงการที่ไม่มีเจตนาจะออกแบบโครงการและวางมาตรการบรรเทาผลกระทบที่ผ่านเกณฑ์ DNSH และ MSS อย่างจริงจังตั้งแต่ต้น 

3. “ช่องว่าง” ของการใช้มาตรฐาน Equator Principles 

มาตรฐาน Equator Principles (หลักการอีเควเตอร์) คือกรอบแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงสำหรับสถาบันทางการเงิน ที่มีเป้าหมายในการประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการที่ภาคการเงินต้องการสนับสนุน (project finance) 

ปัจจุบัน สถาบันการเงิน 130 แห่งทั่วโลก ประกาศรับหลักการอีเควเตอร์ไปใช้ในการดำเนินการ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของการปล่อยสินเชื่อโครงการในตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เป็นมาตรฐานความยั่งยืนสำหรับสินเชื่อโครงการที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก

สถาบันการเงินที่รับหลักการอีเควเตอร์จะต้องนำไปปรับใช้ในนโยบาย กระบวนการ และมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ โดยต้องพิจารณาไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ไม่ดำเนินการตามหลักการอีเควเตอร์ เช่น โครงการที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมอย่างมีนัยสำคัญและไม่มีมาตรการบรรเทา เป็นต้น

ในประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ประกาศรับหลักการอีเควเตอร์ แต่ยังตัดสินใจปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง (เขื่อนหลวงพระบาง) ซึ่งมีความเสี่ยง ESG ที่สำคัญหลายประการ (อ่านสรุปความเสี่ยง ESG ของโครงการนี้ได้ในเอกสาร “หลักการ “การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ” สู่การปฏิบัติ: กรณีโครงการไฟฟ้าพลังงานน้ำเขื่อนหลวงพระบาง” จัดทำโดยแนวร่วมฯ ในเดือนธันวาคม 2565)

เมื่อแนวร่วมฯ เมื่ออ่านเอกสารของผู้ดำเนินโครงการเขื่อนหลวงพระบางแล้ว ก็พบ “ช่องว่าง” หลายประการ ที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของหลักการอีเควเตอร์ จึงได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง SCB ในเดือนสิงหาคม 2567 เพื่ออธิบายประเด็นดังกล่าวและเรียกร้องให้ธนาคารยกระดับการปฏิบัติตามหลักการอีเควเตอร์ 

เวลาล่วงเวลามากว่า 1 ปี ณ ต้นเดือนตุลาคม 2568 แนวร่วมฯ ยังไม่ได้รับคำตอบอย่างเป็นทางการจาก SCB แต่อย่างใด

“ช่องว่าง” ของโครงการเขื่อนหลวงพระบาง ที่แนวร่วมฯ แจกแจงในจดหมายเปิดผนึกถึง SCB สรุปบางประเด็นได้ดังนี้

  • บริษัทผู้ดำเนินโครงการ ได้เผยแพร่รายงานการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนลงวันที่กรกฎาคม 2566 บนเว็บไซต์ของตน แต่ความเสี่ยงที่สำคัญและมาตรการบรรเทาที่ระบุในรายงานฉบับนี้ มีเพียงเรื่อง สุขภาพและความปลอดภัยของซัพพลายเออร์และพนักงาน ไม่มีการกล่าวถึงความเสี่ยงประเด็นอื่นที่น่าจะสำคัญกว่า (และถูกระบุในรายงานอื่นๆ เช่น รายงานของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง รายงานของคณะทำงานมรดกโลก ฯลฯ) อย่างเช่นความเสี่ยงต่อวิถีชีวิตของชุมชน แต่อย่างใด การจัดทำรายงานดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามมาตรฐานของหลักการอีเควเตอร์
  • ไม่มีการจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (climate risks) ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญของหลักการอีเควเตอร์ 
  • ชุดหลักการอีเควเตอร์กำหนดให้ผู้ดำเนินโครงการ “ต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีประสิทธิภาพในฐานะกระบวนการต่อเนื่อง…” รวมถึงต้องจัดทำเอกสารผลลัพธ์ของกระบวนการมีส่วนร่วม รวมถึงการดำเนินการที่ตกลงกัน แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการจัดทำเอกสารดังกล่าว (ที่ชี้ให้เห็น “ประสิทธิภาพ” และ “ความต่อเนื่อง” ของการมีส่วนร่วม) แต่อย่างใด โดยเฉพาะในเมื่อผู้ดำเนินโครงการจะอ้างอิงเพียงกิจกรรมการปรึกษาหารือที่ดำเนินการในปี 2562 เท่านั้น (นานหลายปีก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการ)

ในปีถัดมาคือ เดือนสิงหาคม 2568 แนวร่วมฯ ส่งจดหมายเปิดผนึกอีกฉบับ คราวนี้ส่งถึง SCB และธนาคารอื่นอีก 6 แห่ง ที่คาดว่าอาจร่วมเป็นเจ้าหนี้ปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (เขื่อนปากแบง) (เหตุผลที่ “คาดว่า” คือ ยังไม่มีข้อมูลสาธารณะที่ระบุได้ว่าสถาบันการเงินใดเป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับโครงการดังกล่าว) อธิบาย “ช่องว่าง” และความไม่เพียงพอระหว่างการดำเนินงานของผู้ดำเนินโครงการ กับหลักการอีเควเตอร์เช่นกัน ซึ่ง ณ ต้นเดือนตุลาคม 2568 ยังไม่มีธนาคารใดตอบจดหมายเปิดผนึก

จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ส่งหลังจากที่บริษัทผู้ดำเนินโครงการเขื่อนปากแบงได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในจังหวัดเชียงราย ในเดือนมิถุนายน 2568 และก่อนหน้านี้แนวร่วมฯ ก็ได้ส่งจดหมายถึงธนาคารหลายแห่งเพื่ออธิบายความเสี่ยง ESG ที่สำคัญของโครงการ ถึงสามฉบับ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 (ดูเนื้อหาจดหมายฉบับแรกและฉบับที่สอง,  เนื้อหาจดหมายฉบับที่สาม

“ช่องว่าง” ของโครงการเขื่อนหลวงพระบาง ที่แนวร่วมฯ แจกแจงในจดหมายเปิดผนึกถึงธนาคารไทย 7 แห่ง สรุปบางประเด็นได้ดังนี้

  • การประเมินผลกระทบสะสม (Cumulative Impact Assessment: CIA) และการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary Impact Assessment: TbIA) ของโครงการไม่สมบูรณ์ เนื่องจากประเมินโครงการเขื่อนปากแบงแบบแยกเดี่ยว โดยไม่พิจารณาผลกระทบสะสมจากเขื่อนต้นน้ำ (รวมถึงเขื่อนของจีน) และเขื่อนในแม่น้ำโขงตอนล่างอื่นๆ ที่อยู่ในแผนการก่อสร้างในอนาคต
  • ขาดการประเมิน “ผลกระทบที่มองไม่เห็น” ต่อแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง เช่น แม่น้ำงาวและแม่น้ำอิง ขาดการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการรบกวนระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์ของแม่น้ำเหล่านี้ (สายพันธุ์ปลาพื้นเมือง ชีวิตสัตว์น้ำ ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ) และอาชีพที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะ (การทำสวนริมแม่น้ำ การประมงขนาดเล็ก ผลิตภัณฑ์จากป่าที่ไม่ใช่ไม้)
  • ไม่มีการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งที่เป็นข้อกำหนดสำคัญของหลักการอีเควเตอร์ (เนื้อหาในรายงานที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีเพียงการเปรียบเทียบเพียงไฟฟ้าจากเขื่อนปากแบงเป็นเวลา 29 ปี กับการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการลดคาร์บอนรวม 1,983,368 ล้านตัน ซึ่งไม่ใช่การวิเคราะห์ ความเสี่ยง จากภาวะโลกรวนแต่อย่างใด) 
  • ไม่มีการพูดถึงผลกระทบของสารพิษจากเหมืองแร่หายากในเมียนมา ที่จะรุนแรงขึ้นจากโครงการเขื่อนปากแบง โดยโครงการดังกล่าวอาจดักและสะสมตะกอนที่ปนเปื้อนในอ่างเก็บน้ำ สารปนเปื้อนจากเหมืองแร่มีความคงทน เป็นพิษสูง ลดความหลากหลายทางชีวภาพ สะสมในห่วงโซ่อาหาร และอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาวต่อระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์ 
  • ชุดหลักการอีเควเตอร์กำหนดให้ผู้ดำเนินโครงการ “ต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีประสิทธิภาพในฐานะกระบวนการต่อเนื่อง…” รวมถึงต้องจัดทำเอกสารผลลัพธ์ของกระบวนการมีส่วนร่วม รวมถึงการดำเนินการที่ตกลงกัน แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการจัดทำเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด 

ผู้เขียนหวังว่า “ช่องว่าง” ที่กว้างใหญ่ทั้งสามประเด็นดังกล่าวข้างต้น คงเพียงพอที่จะทำให้เห็นว่า รูปธรรมของการคำนึงถึงหลัก “ธุรกิจยั่งยืน” อย่างจริงจัง ในการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงอยู่อีกห่างไกลเหลือเกินในประเทศไทย 

บทความยอดนิยม

ในยุคที่เรียกกันติดปากว่า “ของแพง ค่าแรงถูก” ปัญหาหนักอกของคนไทยทั้งประเทศก็คือ สินค้า และบริการที่กำลังขึ้นราคานั้นหลายชนิดไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงที่นานๆ เราจะซื้อที แต่เป็นของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ “ค่าไฟฟ้า” สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตสมัยใหม่

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine ยังสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ทั้งการนำเอาไทม์ไลน์จริงของประเทศไทยในช่วงปี

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 39.04% (20,298.50 เมกะวัตต์) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 17.74% (9,223.38 เมกะวัตต์) และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 11.99% (6,234.90 เมกะวัตต์) เมื่อรวมกันจะพบว่าเอกชนถือครองสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในระบบสูงถึง 68.77% ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีกำลังการผลิตในระบบเพียง 31.23% หรือ 16,235.02 เมกะวัตต์ เท่านั้น  ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น จึงทำให้มีโรงไฟฟ้าเอกชนไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเท่ากับกำลังการผลิตตามสัญญา เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงที่เกิดขึ้นต่ำกว่ากำลังการผลิตในระบบ แต่อย่างไรก็ต้องจ่าย ‘ค่าพร้อมจ่าย’ ในราคาเต็ม เนื่องจากสัญญาแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (take or pay) ตามเงื่อนไขที่ […]

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

ความเป็นมาของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และทำไมจึงมีถึงสองรอบ? โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 เป็นผลพวงมาจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของไทยให้มากขึ้น  โดยโครงการได้ดำเนินการไปแล้ว 2 รอบ ได้แก่ โครงการรอบแรก เปิดให้รับซื้อไปเมื่อช่วงปี 2565 เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้ารวม 5,203 เมกะวัตต์ มีผู้ผ่านคัดเลือก 175 โครงการ ปริมาณไฟฟ้ารับซื้อจริง 4,852.26 เมกะวัตต์ ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อีก 350.74 เมกะวัตต์ โดยมีการทยอยลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับผู้ผ่านการคัดเลือกไปจนเกือบครบแล้ว และโครงการรอบเพิ่มเติม เปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากรอบแรก ตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 เพื่อตอบสนองความต้องการของเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งสองรอบมีปัญหาอะไร? แม้โครงการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่ออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นการตอบสนองเชิงนโยบายต่อเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด แต่โครงการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในด้านความโปร่งใส และถูกมองว่าอาจสร้างภาระค่าไฟให้ประชาชนต้องแบกรับไปอีกหลายสิบปี โดยมีคำถามและข้อสังเกตหลายประเด็น ได้แก่ […]

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความไม่จำเป็นของโครงการเขื่อนปากแบง

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันไว้แล้วกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ โครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์  โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  […]

ไทยซื้อไฟจากเขื่อนไหนในลาวบ้าง

สำรวจข้อมูลเขื่อนในลาวที่ไทยไปซื้อไฟ

เสียงจากเวทีที่อุบลฯ ไม่เอาเขื่อน(เพิ่ม)ได้ไหม

เสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams)

สร้างเขื่อนผลิตไฟในลาวให้ไทย คุ้มค่าสำหรับใคร

เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers