พืชผลการเกษตรและคุณภาพชีวิตรอบโรงไฟฟ้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง จะนำมาใช้ในกรณีโรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เช่น การสั่งการให้เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลกรณีฉุกเฉินเมื่อมีความขัดข้องในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ 

โรงไฟฟ้าก๊าซ ปล่อยมลพิษอะไรบ้าง

จากรายงาน EIA พบว่าจะมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการระบายมลสารทางอากาศแบบต่อเนื่อง (CEMs) ที่ปล่องระบายมลสารอากาศของโรงไฟฟ้า โดยจะมีการควบคุมอัตรการการปล่อยมลสารทางอากาศไว้ดังนี้ ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 

ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load 

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.90 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 46.07 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 ต่อปล่อง และไม่เกิน 7.63 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง

ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กรณีการผลิตแบบ Minimum Load

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 6.83 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 28.86 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 4.78 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง 

กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load 

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 19.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 68.60 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 11.81 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง 

กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกรณีการผลิตแบบ Minimum Load

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 16.38 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 58.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.03 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง

โดยจะมีการตรวจวัดแบบสุ่มทุก 6 เดือน และตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้งฝุ่นละอองรวม (TSP) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM-10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมงและเฉลี่ย 24 ชั่วโมง โดยจะมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 4 แห่งคือ สถานีที่ 1 สำนักงานโครงการสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 สถานีที่ 2 บ้านดอนขี้เหล็ก ตำบลเกาะขนุน สถานีที่ 3 บ้านสุ่ง ตำบนเขาหินซ้อน และสถานีที่ 4 วัดชำขวาง ตำบลเขาหินซ้อน 

พืชเศรษฐกิจรอบโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์

ใน EIA กำหนดพื้นที่อ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งกินพื้นที่ใน 3 ตำบล ใน 2 อำเภอ คือ ต.เขาหินซ้อน ต.คู้ยายหมี และ ต.เกาะขนุน จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ พบว่าในเขต 3 ตำบลดังกล่าวมีการปลูกพืชเศรษฐกิจรวม 123,055.16 ไร่ โดยแบ่งเป็น

  1. มันสำปะหลัง 53,897.42 ไร่
  2. ข้าว 42,011.30 ไร่
  3. ยางพารา 19,493.66 ไร่
  4. น้ำมันปาล์ม 3,716.12 ไร่
  5. อ้อย 2,258.17 ไร่
  6. สับปะรด 1,068.55 ไร่
  7. ข้าวโพด 448.18 ไร่
  8. ลำไย 92.84 ไร่
  9. มะพร้าว 58.26 ไร่
  10. ทุเรียน 10.66 ไร่ 

ซึ่งพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ เมื่อนำมาคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิด และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูกและขายพืชผลทางการเกษตร เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำการเกษตรในพื้นที่ 3 ตำบลดังกล่าว พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 1,146,531,803.72 บาท/ปี 

โดยมูลค่าของการเกษตรของพืชแต่ละชนิด มีดังนี้

  1. ข้าว 384,552,115.00 บาท/ปี
  2. มันสำปะหลัง 375,612,736.90 บาท/ปี
  3. ยางพารา 236,991,832.21 บาท/ปี
  4. สับปะรด 64,563,586.16 บาท/ปี 
  5. ปาล์มน้ำมัน 48,902,058.17 บาท/ปี
  6. อ้อย 27,831,945.25 บาท/ปี
  7. ข้าวโพด 2,647,825.03 บาท/ปี
  8. ทุเรียน 1,879,571.20 บาท/ปี
  9. มะพร้าว 1,677,888.00 บาท/ปี
  10. ลำไย 1,872,245.79 บาท/ปี 

ไม่เพียงแค่พืชเศรษฐกิจหลักตามการจัดประเภทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​เท่านั้น แต่ในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง ยังเป็นพื้นที่หลักในการปลูกมะม่วงซึ่งถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจของจังหวัดอีกด้วย โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ถือเป็นพืช GI ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลผลิตได้ 14,019.46 ตันต่อปี ในพื้นที่กว่า 17,000 ไร่ สร้างมูลค่าประมาณ 518 ล้านบาท จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าพื้นที่ปลูกมะม่วงในจ.ฉะเชิงเทรา นอกจากที่ อ.บางคล้า ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ปลูกมะม่วง โดยในพื้นที่เขตชลประทานพบว่ามีการปลูกมะม่วงสูงถึง 3,698.47 ไร่ นอกจากนี้ยังพบว่าในเขต อ. พนมสารคาม และ อ.สนามชัยเขต ซึ่งเป็นพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ยังมีการปลูกมะม่วงอีกด้วย โดยใน อ.พนมสารคาม มีการปลูกมะม่วงในเขตพื้นที่ชลประทาน 295.1 ไร่ และใน อ.สนามชัยเขต มีการปลูกมะม่วง 23 ไร่ 

ไม่เพียงแค่นั้น ในพื้นที่โดยรอบยังเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงของ จ.ฉะเชิงเทราอีกด้วย โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เพียง 5.74 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ 1,369 ไร่ เกษตรกร 297 ราย โดยเฉพาะการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดหลินจือแดง เห็ดยานางิ หรือการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 

อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผาทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ที่อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) อาจส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อพืช ใบไหม้ และอาจทำให้อ่อนแอต่อโรคได้ ในขณะที่ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) มีผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรได้หลายด้าน ทั้งทำลายเนื้อเยื่อพืช ทำให้เกิดความเสียหายต่อใบและลดการสังเคราะห์แสง และในระยะยาวอาจส่งผลให้ผลผลิตลดลง 

การที่กระบวนการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าก๊าซมีแนวโน้มที่จะปลดปล่อยมลพิษ ทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจสร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้าในพื้นที่สามตำบล ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,146,531,803.72 บาท/ปี รวมไปถึงผลไม้เศรษฐกิจหลักของจังหวัดอย่างมะม่วง และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เป็นพืช GI ของฉะเชิงเทรา และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางการเกษตรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่

ไม่เพียงแค่นั้นทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM-10 และ PM 2.5 ที่อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย

บทความยอดนิยม

พาไปสำรวจทั่วโลกว่ามีประเทศไหนบ้างที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีเท่าไร เพราะอะไร หรือยุบทิ้งไปแล้วเพราะอะไร ตลอดจนแนวคิดของไทยในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
แผน PDP มีที่มาอย่างไรและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
ย้อนดูจุดกำเนิดโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ที่ไหน-ใครเป็นเจ้าของ

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

พีรยา พูลหิรัญ และธัญญาภรณ์ สุรภักดีโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) ‘การรับมือกับวิกฤติโลกเดือด’ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการรั้งอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

น้ำจะพอไหม หากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ต้องใช้น้ำจากคลองระบม 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี 

โรงไฟฟ้าประเภทความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า จะต้องมีการใช้น้ำหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าความร้อนเพื่อระบายความร้อนออกจากระบบ โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ น้ำจะถูกสูบเข้ามาเพื่อใช้หล่อเย็นในระบบปิด และจะไหลเวียนในระบบเพื่อลดอุณหภูมิของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กังหันไอน้ำหรือหม้อไอน้ำ ก่อนจะนำกลับไปใช้ใหม่หรือปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำ เช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พบว่าโครงการจะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลบ.ม./วัน หรือประมาณ 4.32 ล้านลบ.ม./ปี โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลบ.ม./วัน นอกจากนี้ในเอกสาร EIA ยังระบุว่าน้ำที่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย นั้นได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ในกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำและบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย […]

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้ สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่  สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า […]

ความไม่จำเป็นของโครงการเขื่อนปากแบง

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันไว้แล้วกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ โครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์  โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  […]