โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง จะนำมาใช้ในกรณีโรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เช่น การสั่งการให้เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลกรณีฉุกเฉินเมื่อมีความขัดข้องในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ

โรงไฟฟ้าก๊าซ ปล่อยมลพิษอะไรบ้าง
จากรายงาน EIA พบว่าจะมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการระบายมลสารทางอากาศแบบต่อเนื่อง (CEMs) ที่ปล่องระบายมลสารอากาศของโรงไฟฟ้า โดยจะมีการควบคุมอัตรการการปล่อยมลสารทางอากาศไว้ดังนี้ ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.90 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 46.07 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 ต่อปล่อง และไม่เกิน 7.63 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กรณีการผลิตแบบ Minimum Load
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 6.83 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 28.86 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 4.78 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 19.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 68.60 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 11.81 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกรณีการผลิตแบบ Minimum Load
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 16.38 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 58.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
- ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.03 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
โดยจะมีการตรวจวัดแบบสุ่มทุก 6 เดือน และตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้งฝุ่นละอองรวม (TSP) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM-10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมงและเฉลี่ย 24 ชั่วโมง โดยจะมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 4 แห่งคือ สถานีที่ 1 สำนักงานโครงการสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 สถานีที่ 2 บ้านดอนขี้เหล็ก ตำบลเกาะขนุน สถานีที่ 3 บ้านสุ่ง ตำบนเขาหินซ้อน และสถานีที่ 4 วัดชำขวาง ตำบลเขาหินซ้อน

พืชเศรษฐกิจรอบโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์
ใน EIA กำหนดพื้นที่อ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งกินพื้นที่ใน 3 ตำบล ใน 2 อำเภอ คือ ต.เขาหินซ้อน ต.คู้ยายหมี และ ต.เกาะขนุน จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าในเขต 3 ตำบลดังกล่าวมีการปลูกพืชเศรษฐกิจรวม 123,055.16 ไร่ โดยแบ่งเป็น
- มันสำปะหลัง 53,897.42 ไร่
- ข้าว 42,011.30 ไร่
- ยางพารา 19,493.66 ไร่
- น้ำมันปาล์ม 3,716.12 ไร่
- อ้อย 2,258.17 ไร่
- สับปะรด 1,068.55 ไร่
- ข้าวโพด 448.18 ไร่
- ลำไย 92.84 ไร่
- มะพร้าว 58.26 ไร่
- ทุเรียน 10.66 ไร่
ซึ่งพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ เมื่อนำมาคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิด และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูกและขายพืชผลทางการเกษตร เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำการเกษตรในพื้นที่ 3 ตำบลดังกล่าว พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 1,146,531,803.72 บาท/ปี
โดยมูลค่าของการเกษตรของพืชแต่ละชนิด มีดังนี้
- ข้าว 384,552,115.00 บาท/ปี
- มันสำปะหลัง 375,612,736.90 บาท/ปี
- ยางพารา 236,991,832.21 บาท/ปี
- สับปะรด 64,563,586.16 บาท/ปี
- ปาล์มน้ำมัน 48,902,058.17 บาท/ปี
- อ้อย 27,831,945.25 บาท/ปี
- ข้าวโพด 2,647,825.03 บาท/ปี
- ทุเรียน 1,879,571.20 บาท/ปี
- มะพร้าว 1,677,888.00 บาท/ปี
- ลำไย 1,872,245.79 บาท/ปี
ไม่เพียงแค่พืชเศรษฐกิจหลักตามการจัดประเภทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เท่านั้น แต่ในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง ยังเป็นพื้นที่หลักในการปลูกมะม่วงซึ่งถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจของจังหวัดอีกด้วย โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ถือเป็นพืช GI ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลผลิตได้ 14,019.46 ตันต่อปี ในพื้นที่กว่า 17,000 ไร่ สร้างมูลค่าประมาณ 518 ล้านบาท จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าพื้นที่ปลูกมะม่วงในจ.ฉะเชิงเทรา นอกจากที่ อ.บางคล้า ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ปลูกมะม่วง โดยในพื้นที่เขตชลประทานพบว่ามีการปลูกมะม่วงสูงถึง 3,698.47 ไร่ นอกจากนี้ยังพบว่าในเขต อ. พนมสารคาม และ อ.สนามชัยเขต ซึ่งเป็นพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ยังมีการปลูกมะม่วงอีกด้วย โดยใน อ.พนมสารคาม มีการปลูกมะม่วงในเขตพื้นที่ชลประทาน 295.1 ไร่ และใน อ.สนามชัยเขต มีการปลูกมะม่วง 23 ไร่
ไม่เพียงแค่นั้น ในพื้นที่โดยรอบยังเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงของ จ.ฉะเชิงเทราอีกด้วย โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เพียง 5.74 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ 1,369 ไร่ เกษตรกร 297 ราย โดยเฉพาะการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดหลินจือแดง เห็ดยานางิ หรือการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผาทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ที่อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) อาจส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อพืช ใบไหม้ และอาจทำให้อ่อนแอต่อโรคได้ ในขณะที่ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) มีผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรได้หลายด้าน ทั้งทำลายเนื้อเยื่อพืช ทำให้เกิดความเสียหายต่อใบและลดการสังเคราะห์แสง และในระยะยาวอาจส่งผลให้ผลผลิตลดลง
การที่กระบวนการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าก๊าซมีแนวโน้มที่จะปลดปล่อยมลพิษ ทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจสร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้าในพื้นที่สามตำบล ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,146,531,803.72 บาท/ปี รวมไปถึงผลไม้เศรษฐกิจหลักของจังหวัดอย่างมะม่วง และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เป็นพืช GI ของฉะเชิงเทรา และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางการเกษตรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่
ไม่เพียงแค่นั้นทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM-10 และ PM 2.5 ที่อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย
บทความยอดนิยม




