ความไม่จำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพา พาวเวอร์  ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กำลังผลิตตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มจ่ายไฟในปี 2570 สัญญาสัมปทาน 25 ปี เป็นของบริษัท NPS 65% Gulf 35% สถานะปัจจุบันเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ก่อสร้าง

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยไฟสำรองล้นเกิน ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ตามแผน NDC3.0 นำมาสู่คำถามที่สำคัญว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ยังมีความจำเป็นอยู่ไหม?

ประเทศไทยไฟล้น ภาคตะวันออกเองก็โรงไฟฟ้าล้นแล้วเหมือนกัน

หากการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการใช้ไฟก็จะพบว่า ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น 

เมื่อพิจารณาในระดับภูมิภาคของภาคตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ก็จะพบว่า ในปี 2567 ภาคตะวันออกมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 7,518.44 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น IPS (Independent Power Supply) ซึ่งก็คือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในกิจการของตนเอง และ/หรือ ขายตรงให้ลูกค้า ภายในพื้นที่ของตนเอง โดยไม่ได้ขายเข้าระบบของการไฟฟ้า สูงที่สุด 2,904.03 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 38.63% ภาคอุตสาหกรรม 2,799.41 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 37.23% ภาคธุรกิจ 935.22 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 12.44% ภาคครัวเรือน 793.60 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 10.56% และอื่นๆ 86.18 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 1.15% ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า 50 โรง ที่อยู่ในภาคตะวันออกนั้นสูงถึง 14,917.54 เมกะวัตต์ มากกว่าการใช้ไฟฟ้าเกือบเท่าตัว ซึ่งทำให้เห็นว่าภาคตะวันออกไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้าในขณะเดียวกันยังอยู่ในภาวะล้นเกินอีกด้วย

ไม่ใช่แค่ภาคตะวันออกที่ไฟล้น แต่ฉะเชิงเทราก็ไฟล้นถึง 5 เท่าไปแล้ว

จากนั้นเมื่อพิจารณาในระดับจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ก็จะพบว่าในปี 2567 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 670.08 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น ภาคอุตสาหกรรม 442.62 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 66.06% ภาคครัวเรือน 94.83 เมกะะวัตต์ หรือคิดเป็น 14.15% ภาคธุรกิจ 84.81เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 12.66% IPS 38.14 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 5.69% และอื่นๆ 9.68 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 1.44% ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า 3 โรงในจังหวัดฉะเชิงเทรานั้นอยู่ที่ 3,428 เมกะวัตต์ มากกว่าการใช้ไฟฟ้าถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้เห็นว่าจังหวัดฉะเชิงเทราไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้าในขณะเดียวกันยังอยู่ในภาวะล้นเกินอย่างมากอีกด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา ไม่ได้ตอบโจทย์ ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันภาพรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่ว่าจะในระดับประเทศ ภาคตะวันออก หรือจังหวัดฉะเชิงเทราเอง ล้วนแล้วแต่มีมากพอจนล้นเกินแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้า จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพิ่มอีกเพราะนอกจากไฟฟ้าจะมีมากพอจนล้นเกินแล้วยังจะทำให้เกิดภาระค่าไฟเพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย

ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพราะโรงไฟฟ้าก๊าซที่มีอยู่ก็ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพ เนื่องจากไฟล้นเกินอยู่แล้ว

นอกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินทั้งในระดับประเทศ ภาคตะวันออก หรือ จ.ฉะเชิงเทรา ที่ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์แล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ไม่จำเป็นต้องสร้าง ก็เพราะว่าโรงไฟฟ้าก๊าซที่มีอยู่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพ เนื่องจากไฟล้นเกินอยู่แล้ว

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซเอกชนขนาดใหญ่ที่เรามีทั้ง 11 โรง ยังไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพตามจำนวนกำลังการผลิตตามสัญญา โดยในปี 2567 มีถึง 4 โรงที่ไม่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟ คือโรงไฟฟ้า Gulf PG กำลังการผลิตตามสัญญา 1,468 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า RPCL กำลังการผลิตตามสัญญา 1,400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้า GLOW IPP กำลังการผลิตตามสัญญา 713 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้า GPSC กำลังการผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตตามสัญญาที่ไม่เกิดขึ้น 4,281 เมกะวัตต์เลยทีเดียว ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เกือบ 8 เท่า 

ไม่เพียงแค่นั้นจากข้อมูลยังพบอีกว่ามีโรงไฟฟ้าก๊าซอีก 8 โรง ที่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟเพียงบางเดือนเท่านั้น ไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญา โดยหากพิจารณาในส่วนกำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นจะพบว่าสูงถึง 8,169.31 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ กว่า 15 เท่าเลยทีเดียว และหากรวม กำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหมดในปี 2567 จะพบว่าสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ หรือมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์  23 เท่า 

ดังนั้นจะเห็นว่า ในขณะที่ประเทศไทยยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซที่เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าไปแล้วแต่มีการซื้อไฟฟ้าไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญาสูงถึง 12,450.80  เมกะวัตต์ จึงไม่จำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาเพียง 540 เมกกะวัตต์เท่านั้น เพื่อมาเป็นภาระค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 

ยิ่งสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่ม ยิ่งทำให้ค่าไฟแพงขึ้น 

ปี 2566 ไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซมากที่สุด 57.95% โดยใช้ก๊าซจาก 3 แหล่ง คือก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 51.27% ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากการนำเข้า 35.91% และนำเข้าก๊าซจากเมียนมา 12.82% ซึ่งค่าก๊าซคิดเป็น 33.81% ในค่าไฟที่เราต้องจ่ายทุกๆ เดือน จากข้อมูลพบว่าโรงไฟฟ้า กฟผ. จ่ายเงินซื้อเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 129,376.36 ล้านบาท โดยเป็นค่าก๊าซสูงที่สุด 107,728.41 ล้านบาท คิดเป็น 83.27% ในขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนจ่ายเงินซื้อเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 264,907 ล้านบาท เป็นค่าก๊าซสูงที่สุด 194,093.21 ล้านบาท คิดเป็น 73.27% ของค่าเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าเอกชน และจากรายงานประมาณการค่า Ft ปี 2566 พบว่า ไทยใช้เงินซื้อก๊าซมาผลิตไฟฟ้ามากกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ราว 10 เท่า

การที่ประเทศไทยเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ไม่ตอบโจทย์หลักการทั้งในเรื่องความมั่นคงทางพลังงานและราคาที่เข้าถึงได้ เพราะก๊าซเกือบครึ่งหนึ่งนั้นต้องนำเข้า ในขณะเดียวกันก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ต้องนำเข้าก็มีความผันผวนดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงสงครามรัสซีย-ยูเครน ที่ราคา LNG โลกพุ่งสูงขึ้นทำให้ ราคา Pool Gas ของไทยสูงถึง 444 บาท/ล้านบีทียู และค่าไปปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4.72 บาท/หน่วย ในขณะที่ปัจจุบันนั้นต้นทุนการผลิตหน้าโรงของโรงไฟฟ้าก๊าซโดยหากเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) อยู่ที่ 3.04 บาท/หน่วย และหากเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) อยู่ที่ 3.61 บาท/หน่วย เลยทีเดียว 

นอกจากนี้ จากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF ยังชี้ให้เห็นว่า การจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซขึ้นอยู่กับราคา LNG ทั่วโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งพร้อมแบตเตอรี่เก็บไฟ 4 ชั่วโมง มีต้นทุนต่อหน่วยของการผลิตไฟฟ้าตลอดอายุการใช้งาน (LCOE) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ในประเทศไทยแล้ว โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าก๊าซมีค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ 2.98 บาท/หน่วย ในปี 2573 อยู่ที่ 2.87 บาท/หน่วย และในปี 2593 จะอยู่ที่ 2.91 บาท/หน่วย

ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ อยู่ที่ 2.87 บาท/หน่วย และในปี 2573 อยู่ที่ 2.04 บาท/หน่วย และในปี 2593 จะอยู่ที่ 1.38 บาท/หน่วย

จะเห็นได้ว่าการจะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ทำให้ต้องพึ่งพา LNG มากขึ้นซึ่งมีความผันผวนทางด้านราคาและไม่อาจสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานได้เพราะต้องนำเข้า มากไปกว่านั้นโรงไฟฟ้าก๊าซยังทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วยต้นทุนการผลิตที่สูง และไม่คุ้มทุนเมื่อเปรียบเทียบราคาไฟฟ้าต่อหน่วยกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยิ่งจะถูกลงเรื่อยๆ ในอนาคต 

ประเทศไทยและชาวฉะเชิงเทราต้องการไฟสะอาด ไม่ใช่โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 

หากประเทศไทยต้องการจะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตันให้ได้ภายในปี 2578 การสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ยิ่งไม่ใช่คำตอบ เพราะในปี 2565 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 385,941.14 ktCO2eq โดยภาคพลังงานสูงสุด 254,307.21 ktCO2eq หรือคิดเป็น 65.89% รองลงมาก็คือภาคเกษตร 68,933.74 ktCO2eq คิดเป็น 17.86% ภาคอุตสาหกรรม 40,527.22 ktCO2eq คิดเป็น 10.50% และภาคส่วนการจัดการขยะและของเสีย 22,172.97 ktCO2eq หรือคิดเป็น 5.75% ดังนั้นการจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซเข้าสู่ระบบและมีระยะเวลาสัมปทานนานถึง 25 ปี จึงอาจจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภายใต้กรอบเวลาใหม่ภายในปี 2050 

ไม่เพียงแค่นั้น หากเราพิจารณาความต้องการในระดับพื้นที่ก็จะพบว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในฉะเชิงเทราและโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ก็จะสร้างอยู่ในเขตพื้นที่นี้ สวนอุตสาหกรรม 304 เพิ่งจะได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมประกาศตัวว่าจุดหมายสำหรับอุตสาหกรรม Data Center ซึ่งอุตสาหกรรม Data Center นั้นต้องการไฟฟ้าสะอาด ซึ่งก็คือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่จากโรงไฟฟ้าก๊าซ 

การจะสร้างไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในเขตพื้นที่สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ยังขัดแย้งกันเองกับแนวทางของบริษัทผู้ลงทุนอย่าง บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (NPS) ที่กำลังเติบโตจากความต้องการไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% จากปีที่แล้ว 

โดย NPS ได้รับผลดีจากการใช้พลังงานสะอาดจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน ส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 30% นอกจากนี้ NPS ยังสามารถตอบสนองการลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 ของไทยที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำจากต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าที่มีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่ NPS ซึ่งลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 จะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จึงเป็นความขัดแย้งทั้งในประเด็นเป้าหมายระดับชาติ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอง 

นอกจากนี้จังหวัดฉะเชิงเทราเองยังมีศักยภาพในด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างมาก โดยรายงาน ‘ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน’ จาก กรีนพีซ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์ 

โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย ฉะเชิงเทราจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. 2581 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากมีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และขายคืนให้แก่ภาครัฐได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะมีศักยภาพอยู่แล้ว

ดังนั้น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จึงไม่มีความจำเป็น เพราะไม่สอดคล้องกับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและขัดแย้งกับธุรกิจการจัดหาไฟสะอาดของอุตสาหกรรมในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าและธุรกิจของบริษัทเจ้าของโครงการอย่าง NPS เองอีกด้วย

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา ตลอดจนกลุ่มองค์กรที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมในประเทศไทย ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ได้ที่ https://burapa-power.justpow.co

บทความยอดนิยม

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

แผน PDP มีที่มาอย่างไรและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
สำรวจความเป็นมาของโครงการฯ พร้อมดูว่ากลุ่มบริษัทไหนได้โควต้าบ้าง
พาไปสำรวจทั่วโลกว่ามีประเทศไหนบ้างที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีเท่าไร เพราะอะไร หรือยุบทิ้งไปแล้วเพราะอะไร ตลอดจนแนวคิดของไทยในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เรากำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการเดินหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงพลังงาน รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ของภูมิภาค

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

แคมเปญ #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ #หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา

ตามรอยประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Shine : โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงคือโครงการอะไร แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวยังไงกับการสร้างโรงไฟฟ้า 

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine

ไฟฟ้าไทย อยู่ในมือใคร? 

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]