แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพา พาวเวอร์ ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กำลังผลิตตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มจ่ายไฟในปี 2570 สัญญาสัมปทาน 25 ปี เป็นของบริษัท NPS 65% Gulf 35% สถานะปัจจุบันเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ก่อสร้าง
ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยไฟสำรองล้นเกิน ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ตามแผน NDC3.0 นำมาสู่คำถามที่สำคัญว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ยังมีความจำเป็นอยู่ไหม?
ประเทศไทยไฟล้น ภาคตะวันออกเองก็โรงไฟฟ้าล้นแล้วเหมือนกัน

หากการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการใช้ไฟก็จะพบว่า ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น
เมื่อพิจารณาในระดับภูมิภาคของภาคตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ก็จะพบว่า ในปี 2567 ภาคตะวันออกมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 7,518.44 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น IPS (Independent Power Supply) ซึ่งก็คือ ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในกิจการของตนเอง และ/หรือ ขายตรงให้ลูกค้า ภายในพื้นที่ของตนเอง โดยไม่ได้ขายเข้าระบบของการไฟฟ้า สูงที่สุด 2,904.03 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 38.63% ภาคอุตสาหกรรม 2,799.41 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 37.23% ภาคธุรกิจ 935.22 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 12.44% ภาคครัวเรือน 793.60 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 10.56% และอื่นๆ 86.18 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 1.15% ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า 50 โรง ที่อยู่ในภาคตะวันออกนั้นสูงถึง 14,917.54 เมกะวัตต์ มากกว่าการใช้ไฟฟ้าเกือบเท่าตัว ซึ่งทำให้เห็นว่าภาคตะวันออกไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้าในขณะเดียวกันยังอยู่ในภาวะล้นเกินอีกด้วย
ไม่ใช่แค่ภาคตะวันออกที่ไฟล้น แต่ฉะเชิงเทราก็ไฟล้นถึง 5 เท่าไปแล้ว

จากนั้นเมื่อพิจารณาในระดับจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ก็จะพบว่าในปี 2567 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 670.08 เมกะวัตต์ โดยแบ่งเป็น ภาคอุตสาหกรรม 442.62 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 66.06% ภาคครัวเรือน 94.83 เมกะะวัตต์ หรือคิดเป็น 14.15% ภาคธุรกิจ 84.81เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 12.66% IPS 38.14 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 5.69% และอื่นๆ 9.68 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 1.44% ในขณะที่กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า 3 โรงในจังหวัดฉะเชิงเทรานั้นอยู่ที่ 3,428 เมกะวัตต์ มากกว่าการใช้ไฟฟ้าถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้เห็นว่าจังหวัดฉะเชิงเทราไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้าในขณะเดียวกันยังอยู่ในภาวะล้นเกินอย่างมากอีกด้วย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา ไม่ได้ตอบโจทย์ ‘ความมั่นคงทางพลังงาน’ แต่อย่างใด เพราะปัจจุบันภาพรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่ว่าจะในระดับประเทศ ภาคตะวันออก หรือจังหวัดฉะเชิงเทราเอง ล้วนแล้วแต่มีมากพอจนล้นเกินแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้า จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพิ่มอีกเพราะนอกจากไฟฟ้าจะมีมากพอจนล้นเกินแล้วยังจะทำให้เกิดภาระค่าไฟเพิ่มขึ้นตามมาอีกด้วย
ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพราะโรงไฟฟ้าก๊าซที่มีอยู่ก็ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพ เนื่องจากไฟล้นเกินอยู่แล้ว
นอกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินทั้งในระดับประเทศ ภาคตะวันออก หรือ จ.ฉะเชิงเทรา ที่ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์แล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้เห็นว่าโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ไม่จำเป็นต้องสร้าง ก็เพราะว่าโรงไฟฟ้าก๊าซที่มีอยู่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพ เนื่องจากไฟล้นเกินอยู่แล้ว

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซเอกชนขนาดใหญ่ที่เรามีทั้ง 11 โรง ยังไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพตามจำนวนกำลังการผลิตตามสัญญา โดยในปี 2567 มีถึง 4 โรงที่ไม่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟ คือโรงไฟฟ้า Gulf PG กำลังการผลิตตามสัญญา 1,468 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า RPCL กำลังการผลิตตามสัญญา 1,400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้า GLOW IPP กำลังการผลิตตามสัญญา 713 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้า GPSC กำลังการผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตตามสัญญาที่ไม่เกิดขึ้น 4,281 เมกะวัตต์เลยทีเดียว ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เกือบ 8 เท่า
ไม่เพียงแค่นั้นจากข้อมูลยังพบอีกว่ามีโรงไฟฟ้าก๊าซอีก 8 โรง ที่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟเพียงบางเดือนเท่านั้น ไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญา โดยหากพิจารณาในส่วนกำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นจะพบว่าสูงถึง 8,169.31 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ กว่า 15 เท่าเลยทีเดียว และหากรวม กำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหมดในปี 2567 จะพบว่าสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ หรือมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 23 เท่า
ดังนั้นจะเห็นว่า ในขณะที่ประเทศไทยยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซที่เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าไปแล้วแต่มีการซื้อไฟฟ้าไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญาสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ จึงไม่จำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาเพียง 540 เมกกะวัตต์เท่านั้น เพื่อมาเป็นภาระค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก
ยิ่งสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่ม ยิ่งทำให้ค่าไฟแพงขึ้น
ปี 2566 ไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซมากที่สุด 57.95% โดยใช้ก๊าซจาก 3 แหล่ง คือก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 51.27% ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากการนำเข้า 35.91% และนำเข้าก๊าซจากเมียนมา 12.82% ซึ่งค่าก๊าซคิดเป็น 33.81% ในค่าไฟที่เราต้องจ่ายทุกๆ เดือน จากข้อมูลพบว่าโรงไฟฟ้า กฟผ. จ่ายเงินซื้อเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 129,376.36 ล้านบาท โดยเป็นค่าก๊าซสูงที่สุด 107,728.41 ล้านบาท คิดเป็น 83.27% ในขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนจ่ายเงินซื้อเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 264,907 ล้านบาท เป็นค่าก๊าซสูงที่สุด 194,093.21 ล้านบาท คิดเป็น 73.27% ของค่าเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าเอกชน และจากรายงานประมาณการค่า Ft ปี 2566 พบว่า ไทยใช้เงินซื้อก๊าซมาผลิตไฟฟ้ามากกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ราว 10 เท่า

การที่ประเทศไทยเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ไม่ตอบโจทย์หลักการทั้งในเรื่องความมั่นคงทางพลังงานและราคาที่เข้าถึงได้ เพราะก๊าซเกือบครึ่งหนึ่งนั้นต้องนำเข้า ในขณะเดียวกันก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ต้องนำเข้าก็มีความผันผวนดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงสงครามรัสซีย-ยูเครน ที่ราคา LNG โลกพุ่งสูงขึ้นทำให้ ราคา Pool Gas ของไทยสูงถึง 444 บาท/ล้านบีทียู และค่าไปปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4.72 บาท/หน่วย ในขณะที่ปัจจุบันนั้นต้นทุนการผลิตหน้าโรงของโรงไฟฟ้าก๊าซโดยหากเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) อยู่ที่ 3.04 บาท/หน่วย และหากเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) อยู่ที่ 3.61 บาท/หน่วย เลยทีเดียว
นอกจากนี้ จากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF ยังชี้ให้เห็นว่า การจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เพราะต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าก๊าซขึ้นอยู่กับราคา LNG ทั่วโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งพร้อมแบตเตอรี่เก็บไฟ 4 ชั่วโมง มีต้นทุนต่อหน่วยของการผลิตไฟฟ้าตลอดอายุการใช้งาน (LCOE) ต่ำกว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนแห่งใหม่ในประเทศไทยแล้ว โดยปัจจุบันโรงไฟฟ้าก๊าซมีค่าเฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ 2.98 บาท/หน่วย ในปี 2573 อยู่ที่ 2.87 บาท/หน่วย และในปี 2593 จะอยู่ที่ 2.91 บาท/หน่วย
ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ อยู่ที่ 2.87 บาท/หน่วย และในปี 2573 อยู่ที่ 2.04 บาท/หน่วย และในปี 2593 จะอยู่ที่ 1.38 บาท/หน่วย
จะเห็นได้ว่าการจะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ทำให้ต้องพึ่งพา LNG มากขึ้นซึ่งมีความผันผวนทางด้านราคาและไม่อาจสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานได้เพราะต้องนำเข้า มากไปกว่านั้นโรงไฟฟ้าก๊าซยังทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วยต้นทุนการผลิตที่สูง และไม่คุ้มทุนเมื่อเปรียบเทียบราคาไฟฟ้าต่อหน่วยกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยิ่งจะถูกลงเรื่อยๆ ในอนาคต
ประเทศไทยและชาวฉะเชิงเทราต้องการไฟสะอาด ไม่ใช่โรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์

หากประเทศไทยต้องการจะบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตันให้ได้ภายในปี 2578 การสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ยิ่งไม่ใช่คำตอบ เพราะในปี 2565 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 385,941.14 ktCO2eq โดยภาคพลังงานสูงสุด 254,307.21 ktCO2eq หรือคิดเป็น 65.89% รองลงมาก็คือภาคเกษตร 68,933.74 ktCO2eq คิดเป็น 17.86% ภาคอุตสาหกรรม 40,527.22 ktCO2eq คิดเป็น 10.50% และภาคส่วนการจัดการขยะและของเสีย 22,172.97 ktCO2eq หรือคิดเป็น 5.75% ดังนั้นการจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซเข้าสู่ระบบและมีระยะเวลาสัมปทานนานถึง 25 ปี จึงอาจจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภายใต้กรอบเวลาใหม่ภายในปี 2050
ไม่เพียงแค่นั้น หากเราพิจารณาความต้องการในระดับพื้นที่ก็จะพบว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในฉะเชิงเทราและโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ก็จะสร้างอยู่ในเขตพื้นที่นี้ สวนอุตสาหกรรม 304 เพิ่งจะได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมประกาศตัวว่าจุดหมายสำหรับอุตสาหกรรม Data Center ซึ่งอุตสาหกรรม Data Center นั้นต้องการไฟฟ้าสะอาด ซึ่งก็คือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่จากโรงไฟฟ้าก๊าซ
การจะสร้างไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในเขตพื้นที่สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ยังขัดแย้งกันเองกับแนวทางของบริษัทผู้ลงทุนอย่าง บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (NPS) ที่กำลังเติบโตจากความต้องการไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% จากปีที่แล้ว
โดย NPS ได้รับผลดีจากการใช้พลังงานสะอาดจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน ส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 30% นอกจากนี้ NPS ยังสามารถตอบสนองการลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 ของไทยที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำจากต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าที่มีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น การที่ NPS ซึ่งลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 จะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จึงเป็นความขัดแย้งทั้งในประเด็นเป้าหมายระดับชาติ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอง
นอกจากนี้จังหวัดฉะเชิงเทราเองยังมีศักยภาพในด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างมาก โดยรายงาน ‘ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน’ จาก กรีนพีซ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์
โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย ฉะเชิงเทราจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. 2581 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากมีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และขายคืนให้แก่ภาครัฐได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะมีศักยภาพอยู่แล้ว
ดังนั้น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จึงไม่มีความจำเป็น เพราะไม่สอดคล้องกับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและขัดแย้งกับธุรกิจการจัดหาไฟสะอาดของอุตสาหกรรมในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าและธุรกิจของบริษัทเจ้าของโครงการอย่าง NPS เองอีกด้วย
ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา ตลอดจนกลุ่มองค์กรที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมในประเทศไทย ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ได้ที่ https://burapa-power.justpow.co