แคมเปญ #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ #หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา ตลอดจนกลุ่มองค์กรที่ทำงานขับเคลื่อนประเด็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยุติธรรมในประเทศไทย 

ให้ยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา 

เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนของประเทศที่ไม่จำเป็น หากปล่อยให้ดำเนินต่อไป อาจส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการประกอบอาชีพของชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า อีกทั้งเป็นการเพิ่มภาระค่าไฟให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งรัฐมีอำนาจที่จะป้องกันผลกระทบเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้นกับประชาชนได้โดยสั่งการให้ยุติการดำเนินงาน

เราจึงต้องการอย่างน้อย 10,000 รายชื่อ เพื่อยื่นต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้มีคำสั่งยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ณ ต.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา

ร่วมลงชื่อได้ที่ https://burapa-power.justpow.co

ที่มาของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ บูรพาพาวเวอร์ 

โรงไฟฟ้าก๊าซ บูรพาพาวเวอร์ เดิมคือโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน มีบริษัทเนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ NPS เป็นเจ้าของโครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 600 เมกะวัตต์ เป็น 1 ใน 4 โรงไฟฟ้าที่ชนะการประมูลรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (IPP) ครั้งที่ 2 ในปี 2550 ตามแผน PDP2007 แต่โครงการไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เพราะถูกคัดค้านจากชุมชนเป็นเวลาร่วม 10 ปี ด้วยมีข้อห่วงกังวลเรื่องผลกระทบจากโรงไฟฟ้าที่นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพประชาชน ยังอาจส่งผลกระทบต่อการทำเกษตรอินทรีย์ การเพาะเห็ดฟาง รวมถึงการปลูกมะม่วงเพื่อส่งออก ซึ่งสร้างรายได้ให้เกษตรกรถึงปีละ 1,000 ล้านบาท รวมไปถึงปัญหาการแย่งชิงน้ำ เนื่องจากการใช้น้ำจากคลองท่าลาดเต็มศักยภาพแล้ว อีกทั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกกำลังเผชิญปัญหามีโรงไฟฟ้ามากเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าในภูมิภาค ประกอบกับมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม

กระทั่งปี 2562 ทางบริษัทได้เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซ และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น ‘โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์’ โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ มีผู้ถือหุ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 35% ดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่จะขายไฟเข้าสู่ระบบ 540 เมกะวัตต์ และได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2562

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรองคือน้ำมันดีเซล โดยจะใช้ก็ต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสั่งการให้เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลในกรณีฉุกเฉินเมื่อมีความขัดข้องในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 127 ไร่ 2 งาน 54.25 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยแบ่งเป็น พื้นที่โรงไฟฟ้า : เนื้อที่ 97 ไร่ 59 ตารางวา และพื้นที่อ่างพักน้ำทิ้งจากหอหล่อเย็น (Cooling Tower Blown down Holding Pond) : เนื้อที่ 30 ไร่ 95.25 ตารางวา ห่างจากพื้นที่โรงไฟฟ้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 1.13 กิโลเมตร

โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และในแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 กำหนดให้โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2570

ทำไมถึงต้องยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์

1. ความไม่จำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เพราะไฟล้นเกินอยู่แล้ว

ปัจจุบัน ข้อมูลเดือนมิถุยายน 2568 ไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้นมากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ และจากข้อมูลปี 2567 ภาคตะวันออกมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 7,519 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้า 50 โรง รวมกำลังการผลิต 14,917.54 เมกะวัตต์ ส่วน จ.ฉะเชิงเทราเอง ในปี 2567 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 670.08 เมกะวัตต์ มีโรงไฟฟ้า 3 โรง กำลังการผลิต 3,428 เมกะวัตต์ จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ทั้งในระดับประเทศ ระดับภาค หรือระดับจังหวัด ไฟฟ้าที่มีในระบบล้วนล้นเกินทั้งหมด โดยไม่มีความจำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ที่มีกำลังการผลิตตามสัญญาเพียง 540 เมกะวัตต์เท่านั้น 

กำลังการผลิตที่มีในระบบที่มากกว่าความต้องการใช้จริง เห็นได้จากการที่โรงไฟฟ้าก๊าซเอกชนขนาดใหญ่ (IPP) ทั้ง 11 โรง ที่มีอยู่ ปัจจุบันยังไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มศักยภาพตามจำนวนกำลังการผลิตตามสัญญา โดยในปี 2567 มีโรงไฟฟ้า IPP ถึง 4 โรงที่ไม่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟ คือโรงไฟฟ้า Gulf PG โรงไฟฟ้า RPCL โรงไฟฟ้า GLOW IPP และโรงไฟฟ้า GPSC รวมกำลังการผลิตตามสัญญา 4,281 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ เกือบ 8 เท่า 

ไม่เพียงแค่นั้นจากข้อมูลยังพบอีกว่ามีโรงไฟฟ้าก๊าซอีก 8 โรง ที่ปรากฏตัวเลขที่ กฟผ. ซื้อไฟเพียงบางเดือนเท่านั้น ไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญา โดยหากพิจารณาในส่วนกำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นจะพบว่าสูงถึง 8,169.31 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ กว่า 15 เท่าเลยทีเดียว และหากรวมกำลังการผลิตที่ไม่เกิดขึ้นของโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งหมดในปี 2567 จะพบว่าสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ หรือมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาของโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 23 เท่า 

ดังนั้นจะเห็นว่า ในขณะที่ประเทศไทยยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซที่เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าไปแล้วแต่มีการซื้อไฟฟ้าไม่เต็มตามกำลังการผลิตตามสัญญาสูงถึง 12,450.80 เมกะวัตต์ จึงไม่จำเป็นจะต้องสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาเพียง 540 เมกกะวัตต์เท่านั้น ให้มาเป็นภาระค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก

2. โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ใช้น้ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการขาดแคลนและแย่งชิงทรัพยากรน้ำในพื้นที่

จากรายงาน EIA พบว่าโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน นอกจากนี้ในเอกสาร EIA ยังระบุว่าน้ำที่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย นั้นได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ในกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำและบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัดไม่สามารถส่งน้ำให้กับโครงการฯ ได้ โครงการจะลดกำลังการผลิต หรือหยุดดำเนินการ

จากข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดฉะเชิงเทราพบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวน 5 แห่ง ณ วันที่ 21 กันยายน 2566 เท่ากับ 94.120 ล้าน ลบ.ม. (ปริมาณความจุรวมอ่างเก็บน้ำ 483.63 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 19.46% ของความจุอ่างเก็บน้ำ ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของจังหวัดจำแนกเป็น 4 ด้าน คือ อุปโภคบริโภค 41.89 ล้าน ลบ.ม. ระบบนิเวศ 18.25 ล้าน ลบ.ม. เกษตรกรรม 1,304.73 ล้าน ลบ.ม. อุตสาหกรรม 108.92 ล้าน ลบ.ม.

ในขณะที่คลองระบมนั้น จากข้อมูลของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ปัจจุบันมีการขอใช้น้ำจากบริษัทเอส ซี อินดัสทรี ปีละไม่เกิน 180,000 ลบ.ม./ปี บริษัทน้ำใส 304 ปีละไม่เกิน 8,000,000 ลบ.ม./ปี บริษัทบีบีจีไอ ไบโอเอทานอล ปีละไม่เกิน 493,700 ลบ.ม./ปี นอกจากนี้ในส่วนของคลองท่าลาดซึ่งเป็นส่วนต่อปลายน้ำของคลองระบมนั้น ยังมีการขอใช้น้ำจากทั้งบริษัทเอกชนอย่าง บริษัท อินดัสเทรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด ปีละไม่เกิน 7,300,000 ลบ.ม./ปี บริษัท ที-วอเตอร์ (อีอีซี) จำกัด 80,000,000 ลบ.ม./ปี และการประปาอีก 4 แห่งคือ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (ท่ากง) 5,400,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (เกาะขนุน) 3,600,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาบางคล้า 7,200,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนัสนิคม 10,000,000 ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาฝายท่าลาด 35,000,000 ลบ.ม./ปี 

การที่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการในอัตรา 12,000 ลบ.ม/วัน โดยจะสูบน้ำจากคลองระบม ซึ่งเป็นต้นน้ำของการใช้น้ำในลุ่มน้ำคลองระบม-คลองท่าลาด นั้น ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลว่าจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำและทำให้น้ำไม่พอใช้ เพราะน้ำในในลุ่มน้ำคลองระบม-คลองท่าลาด เป็นทรัพยากรที่จะถูกนำไปใช้ภาคส่วนต่างๆ ในหลายพื้นที่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา

3. โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ลิดรอนสิทธิที่ดินทำกินของประชาชนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อไปทำสายส่ง

การก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ยังมีการลิดรอนสิทธิที่ดินทำกินของประชาชนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อไปทำสายส่งอีกด้วย ทั้งนี้เขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่กำหนดมีความยาว 14.18 กิโลเมตร และความกว้าง 60 เมตร ผ่านท้องที่จำนวน 4 ตำบล 2 อำเภอของจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งส่งผลให้พื้นที่ทำกินของประชาชนอาจได้รับผลกระทบจากการถูกลิดรอนสิทธิในที่ดินทำกินกว่า 531.75 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำกินทั้งนาข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และยูคาลิปตัส 

นอกจากนั้นยังพบว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นและกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายยังไม่ครอบคลุมและทั่วถึงต่อกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง เนื่องจากกระบวนการไม่ได้มีการชี้แจงข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนและไม่ได้มีการเปิดเวทีรับฟังอย่างเป็นทางการตามเจตนารมณ์ของหลักการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย และมีประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างน้อย 62 คนที่ไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนล่วงหน้า ส่งผลให้ประชาชนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นต่อการพิจารณาผลกระทบต่อ สิทธิและการดำรงชีวิตของตนเองได้อย่างเหมาะสม

4. มลพิษจากโรงไฟฟ้าอาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า 

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี

ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง จะนำมาใช้ในกรณีโรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เช่น การสั่งการให้เดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลกรณีฉุกเฉินเมื่อมีความขัดข้องในการจัดส่งก๊าซธรรมชาติ 

จากรายงาน EIA พบว่จะมีการติดตั้งระบบตรวจวัดการระบายมลสารทางอากาศแบบต่อเนื่อง (CEMs) ที่ปล่องระบายมลสารอากาศของโรงไฟฟ้า โดยจะมีการควบคุมอัตรการการปล่อยมลสารทางอากาศไว้ดังนี้ ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 

ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load 

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.90 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 46.07 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 ต่อปล่อง และไม่เกิน 7.63 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง

ในกรณีการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กรณีการผลิตแบบ Minimum Load

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 10.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 6.83 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 58.80 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 28.86 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 4.78 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง 

กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิตแบบ Full Load 

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 19.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 68.60 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 11.81 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง 

กรณีการใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกรณีการผลิตแบบ Minimum Load

  • ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไม่เกิน 20.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 16.38 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน ไม่เกิน 99.0 ส่วนในล้านส่วน ที่ 7% O2 และไม่เกิน 58.28 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง
  • ฝุ่นละออง ไม่เกิน 35 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ที่ 7% O2 และไม่เกิน 10.03 กรัมต่อวินาทีต่อปล่อง

โดยจะมีการตรวจวัดแบบสุ่มทุก 6 เดือน และตรวจวัดคุณภาพอากาศทั้งฝุ่นละอองรวม (TSP) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM-10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมง ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) เฉลี่ย 1 ชั่วโมงและเฉลี่ย 24 ชั่วโมง โดยจะมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 4 แห่งคือ สถานีที่ 1 สำนักงานโครงการสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 สถานีที่ 2 บ้านดอนขี้เหล็ก ตำบลเกาะขนุน สถานีที่ 3 บ้านสุ่ง ตำบนเขาหินซ้อน และสถานีที่ 4 วัดชำขวาง ตำบลเขาหินซ้อน 

ใน EIA กำหนดพื้นที่อ่อนไหวต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งกินพื้นที่ใน 3 ตำบล ใน 2 อำเภอ คือ ต.เขาหินซ้อน ต.คู้ยายหมี และ ต.เกาะขนุน จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ พบว่าในเขต 3 ตำบลดังกล่าวมีการปลูกพืชเศรษฐกิจรวม 123,055.16 ไร่ โดยแบ่งเป็น

  1. มันสำปะหลัง 53,897.42 ไร่
  2. ข้าว 42,011.30 ไร่
  3. ยางพารา 19,493.66 ไร่
  4. น้ำมันปาล์ม 3,716.12 ไร่
  5. อ้อย 2,258.17 ไร่
  6. สับปะรด 1,068.55 ไร่
  7. ข้าวโพด 448.18 ไร่
  8. ลำไย 92.84 ไร่
  9. มะพร้าว 58.26 ไร่
  10. ทุเรียน 10.66 ไร่ 

ซึ่งพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ เมื่อนำมาคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิด และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูกและขายพืชผลทางการเกษตร เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำการเกษตรในพื้นที่ 3 ตำบลดังกล่าว พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 1,146,531,803.72 บาท/ปี 

โดยมูลค่าของการเกษตรของพืชแต่ละชนิด มีดังนี้

  1. ข้าว 384,552,115.00 บาท/ปี
  2. มันสำปะหลัง 375,612,736.90 บาท/ปี
  3. ยางพารา 236,991,832.21 บาท/ปี
  4. สับปะรด 64,563,586.16 บาท/ปี 
  5. ปาล์มน้ำมัน 48,902,058.17 บาท/ปี
  6. อ้อย 27,831,945.25 บาท/ปี
  7. ข้าวโพด 2,647,825.03 บาท/ปี
  8. ทุเรียน 1,879,571.20 บาท/ปี
  9. มะพร้าว 1,677,888.00 บาท/ปี
  10. ลำไย 1,872,245.79 บาท/ปี 

ไม่เพียงแค่พืชเศรษฐกิจหลักตามการจัดประเภทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​เท่านั้น แต่ในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง ยังเป็นพื้นที่หลักในการปลูกมะม่วงซึ่งถือเป็นผลไม้เศรษฐกิจของจังหวัดอีกด้วย โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ถือเป็นพืช GI ของจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยในปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลผลิตได้ 14,019.46 ตันต่อปี ในพื้นที่กว่า 17,000 ไร่ สร้างมูลค่าประมาณ 518 ล้านบาท จากข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่าพื้นที่ปลูกมะม่วงในจ.ฉะเชิงเทรา นอกจากที่ อ.บางคล้า ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ปลูกมะม่วง โดยในพื้นที่เขตชลประทานพบว่ามีการปลูกมะม่วงสูงถึง 3,698.47 ไร่ นอกจากนี้ยังพบว่าในเขต อ. พนมสารคาม และ อ.สนามชัยเขต ซึ่งเป็นพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ยังมีการปลูกมะม่วงอีกด้วย โดยใน อ.พนมสารคาม มีการปลูกมะม่วงในเขตพื้นที่ชลประทาน 295.1 ไร่ และใน อ.สนามชัยเขต มีการปลูกมะม่วง 23 ไร่ 

ไม่เพียงแค่นั้น ในพื้นที่โดยรอบยังเป็นพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงของ จ.ฉะเชิงเทราอีกด้วย โดยเฉพาะการทำเกษตรอินทรีย์ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์เพียง 5.74 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ 1,369 ไร่ เกษตรกร 297 ราย โดยเฉพาะการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดหลินจือแดง เห็ดยานางิ หรือการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ 105 

อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผาทำให้เกิดก๊าซที่มีฤทธิ์เป็นกรดอย่างก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ที่อาจส่งผลกระทบต่อพืชผลการเกษตร ตลอดจนคุณภาพชีวิตของประชาชนรอบโรงไฟฟ้า โดยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) อาจส่งผลเสียต่อพืชผลทางการเกษตรโดยตรง ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อพืช ใบไหม้ และอาจทำให้อ่อนแอต่อโรคได้ ในขณะที่ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) มีผลกระทบต่อพืชผลการเกษตรได้หลายด้าน ทั้งทำลายเนื้อเยื่อพืช ทำให้เกิดความเสียหายต่อใบและลดการสังเคราะห์แสง และในระยะยาวอาจส่งผลให้ผลผลิตลดลง 

การที่กระบวนการเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าก๊าซมีแนวโน้มที่จะปลดปล่อยมลพิษ ทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อาจสร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้าในพื้นที่สามตำบล ทั้งพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,146,531,803.72 บาท/ปี รวมไปถึงผลไม้เศรษฐกิจหลักของจังหวัดอย่างมะม่วง และมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เป็นพืช GI ของฉะเชิงเทรา และเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตผลทางการเกษตรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในพื้นที่

ไม่เพียงแค่นั้นทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่อาจสร้างผลกระทบต่อประชาชนรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย

5. สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ ต้องการไฟสะอาดในการทำอุตสาหกรรม ไม่ใช่ไฟจากโรงไฟฟ้าก๊าซ

ประเทศไทยตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกภายใต้แผน NDC 3.0 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องลดก๊าซเรือนกระจก 109.2 ล้านตันให้ได้ภายในปี 2578 ในปี 2565 ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 385,941.14 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยภาคพลังงานสูงสุด 254,307.21 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็น 65.89% รองลงมาก็คือภาคเกษตร 68,933.74 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็น 17.86% ภาคอุตสาหกรรม 40,527.22 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็น 10.50% และภาคส่วนการจัดการขยะและของเสีย 22,172.97 กิโลตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือคิดเป็น 5.75% 

ดังนั้นการจะเพิ่มโรงไฟฟ้าก๊าซบูณพาพาวเวอร์เข้าสู่ระบบไฟฟ้าของประเทศ และมีระยะเวลาสัมปทานนานถึง 25 ปี จึงอาจจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภายใต้กรอบเวลาใหม่ภายในปี 2050 ที่วางไว้ 

ไม่เพียงแค่นั้น หากเราพิจารณาความต้องการในระดับพื้นที่ก็จะพบว่า สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ใน จ.ฉะเชิงเทรา และโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ก็จะสร้างอยู่ในเขตพื้นที่นี้ สวนอุตสาหกรรม 304 เพิ่งจะได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมประกาศตัวว่าจุดหมายสำหรับอุตสาหกรรม Data Center ซึ่งอุตสาหกรรม Data Center นั้นต้องการไฟฟ้าสะอาด ซึ่งก็คือไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ไม่ใช่จากโรงไฟฟ้าก๊าซ 

การจะสร้างไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในเขตพื้นที่สวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จึงขัดแย้งกับแนวทางของบริษัทผู้ลงทุนอย่าง บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย (NPS) ที่กำลังเติบโตจากความต้องการไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานล่าสุดของบริษัทกล่าวว่า บริษัทมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2568 จำนวน 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 101.6% จากปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการใช้พลังงานสะอาดจากเชื้อเพลิงชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน ส่งผลให้ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลงประมาณ 30% นอกจากนี้ NPS ยังสามารถตอบสนองการลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 ของไทยที่มีลูกค้าอุตสาหกรรมชั้นนำจากต่างประเทศจำนวนมาก รวมถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าที่มีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 

ดังนั้น การที่ NPS ซึ่งลงทุนในสวนอุตสาหกรรม 304 จะสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค 2 จึงเป็นความขัดแย้งทั้งในประเด็นเป้าหมายระดับชาติ และการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอง 

นอกจากนี้จังหวัดฉะเชิงเทราเองยังมีศักยภาพในด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างมาก โดยรายงาน ‘ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน’ จาก กรีนพีซ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์ 

โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย ฉะเชิงเทราจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2581 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากมีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และขายคืนให้แก่ภาครัฐได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะมีศักยภาพอยู่แล้ว

ดังนั้น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์จึงไม่มีความจำเป็น เพราะไม่สอดคล้องกับแนวทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและขัดแย้งกับธุรกิจการจัดหาไฟสะอาดของอุตสาหกรรมในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าและธุรกิจของบริษัทเจ้าของโครงการอย่าง NPS เองอีกด้วย

บทความยอดนิยม

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine ยังสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ทั้งการนำเอาไทม์ไลน์จริงของประเทศไทยในช่วงปี

ในยุคที่เรียกกันติดปากว่า “ของแพง ค่าแรงถูก” ปัญหาหนักอกของคนไทยทั้งประเทศก็คือ สินค้า และบริการที่กำลังขึ้นราคานั้นหลายชนิดไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงที่นานๆ เราจะซื้อที แต่เป็นของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ “ค่าไฟฟ้า” สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตสมัยใหม่
สำรวจความเป็นมาของโครงการฯ พร้อมดูว่ากลุ่มบริษัทไหนได้โควต้าบ้าง

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 39.04% (20,298.50 เมกะวัตต์) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 17.74% (9,223.38 เมกะวัตต์) และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 11.99% (6,234.90 เมกะวัตต์) เมื่อรวมกันจะพบว่าเอกชนถือครองสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในระบบสูงถึง 68.77% ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีกำลังการผลิตในระบบเพียง 31.23% หรือ 16,235.02 เมกะวัตต์ เท่านั้น  ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น จึงทำให้มีโรงไฟฟ้าเอกชนไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเท่ากับกำลังการผลิตตามสัญญา เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงที่เกิดขึ้นต่ำกว่ากำลังการผลิตในระบบ แต่อย่างไรก็ต้องจ่าย ‘ค่าพร้อมจ่าย’ ในราคาเต็ม เนื่องจากสัญญาแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (take or pay) ตามเงื่อนไขที่ […]

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความไม่จำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ

ตามรอยประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Shine : โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงคือโครงการอะไร แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวยังไงกับการสร้างโรงไฟฟ้า 

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine

ไฟฟ้าไทย อยู่ในมือใคร? 

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]