เสียงจากเวทีที่อุบลฯ ไม่เอาเขื่อน(เพิ่ม)ได้ไหม

วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against Dams) ซึ่งตรงกับวันที่ 14 มีนาคม ของทุกปี ณ ร้านส่งสาร จ. อุบลราชธานี จัดโดย JustPow, JET in Thailand, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers), เครือข่ายประชาชนจับตาน้ำท่วมอุบล-เขื่อนแม่น้ำโขง และเครือข่ายประชาชนจับตาการลงทุนในเขื่อนลาว

วงเสวนา “คนอุบลเอาบ่? : น้ำท่วม เขื่อนใหม่ ค่าไฟแพง” เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 68 ณ ร้านส่งสาร จ. อุบลราชธานี จัดโดย JustPow, JET in Thailand, องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers), เครือข่ายประชาชนจับตาน้ำท่วมอุบล-เขื่อนแม่น้ำโขง และเครือข่ายประชาชนจับตาการลงทุนในเขื่อนลาว

สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow เกริ่นให้เห็นภาพการใช้งบจัดการน้ำท่วมว่า ข้อมูลจากงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบประมาณ 2566 ซึ่งรวบรวมโดย Rocket Media Lab พบว่า อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่ได้รับงบน้ำท่วมเป็นอันดับสองของประเทศ โดยได้งบทั้งสิ้น 1,937 ล้านบาท โดยเมื่อแบ่งประเภทตามกิจกรรมที่ทำ พบว่า อันดับหนึ่งของงบประมาณของจังหวัดอุบลราชธานีใช้ไปกับการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง 1,300 ล้านบาท ขณะที่อันดับสอง คือ การก่อสร้างฝาย 261 ล้านบาท ตามด้วยการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ 131 ล้านบาท สิ่งที่ควรพูดคุยกันต่อ คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้น เข้ากันกับงบที่ได้หรือไม่ หรือควรโยกเงินไปทำอย่างอื่นที่อาจจะป้องกันหรือเยียวยาได้มากขึ้น 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือใช้ไฟอยู่ที่ 11% ของทั้งประเทศ โดยจังหวัดอุบลราชธานีใช้ไฟเป็นอันดับสามของภาค แต่อุบลฯ ก็เป็นพื้นที่ที่มีการผลิตไฟฟ้าทั้งจากเขื่อนและโซลาร์ลอยน้ำ ขณะที่อุบลฯ ไม่ได้ใช้ไฟมากนัก และมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่แล้วอย่างน้ำท่วม แต่ก็อาจจะต้องเผชิญกับโครงการสร้างเขื่อนในลาว ไม่ไกลจากจังหวัดอุบลฯ ตามที่ระบุไว้ในร่างแผน PDP2024 ที่บอกว่าเราจะต้องใช้ไฟเพิ่มมากขึ้น โดยระบุสัดส่วนเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจากการซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนในประเทศลาวกว่า 3,500 เมกะวัตต์ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเจ้าของโครงการเขื่อนในลาวแล้ว ก็จะพบว่า แม้จะเป็นเขื่อนในลาว แต่บริษัทส่วนใหญ่เป็นสัญชาติไทย และเราก็ต้องซื้อไฟกลับมา โดยคนจ่ายค่าไฟก็คือทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ โดยที่ราคารับซื้อไฟก็แพงขึ้นและค่าไฟของเราก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการพัฒนาสังคม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงการจัดการน้ำท่วมในอุบลราชธานีว่า ความถี่ของน้ำท่วมเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่ 5 ปีท่วม 1 ครั้ง แต่กลายเป็น 3-4 ปีครั้ง ในปี 2567 ที่ผ่านมา ตนมองว่าที่น้ำไม่ท่วมมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าภาครัฐเอาจริงจากการที่เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศว่า น้ำต้องไม่ท่วมอุบลฯ ในแง่หนึ่งอาจเรียกได้ว่า อุบลราชธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางการเมือง หน่วยงานภาครัฐหลายส่วน เช่น กรมชลประทาน รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ มาจัดการน้ำร่วมกัน และมีการสร้างคันกั้นน้ำชั่วคราว เพื่อไม่ให้น้ำไหลทะลักมาที่จุดฟันหลอ ทำให้รับปริมาณน้ำได้มากขึ้น หรือเหตุที่น้ำไม่ท่วมปี 2567 อาจจะเป็นเพราะเราผลักให้จังหวัดอื่นท่วมแทนหรือไม่ กั้นน้ำไว้ไม่ให้มาที่อุบลฯ น้ำก็จะท่วมน้อย

จากการทำงานในประเด็นนี้มาหลายปี สุรสมตั้งข้อสังเกตว่า มีการถอดบทเรียนจากน้ำท่วมบ่อยมาก การนั่งคุยอย่างเดียวอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่ต้องการทางออกระยะยาวไม่ใช่ระยะสั้น ทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหายั่งยืน ซึ่งต้องมาคิดต่อว่ายั่งยืนของใคร โจทย์ของชาวบ้านก็อาจจะคิดว่า น้ำท่วมได้ ขอให้อยู่ได้ แต่หน่วยงานราชการอาจจะบอกว่า ต้องให้น้ำไม่ท่วม ดังนั้นจะมีเขื่อนหรือไม่มีเขื่อน ไม่ใช่แค่ว่าเอาน้ำหรือไม่เอาน้ำ คำถามที่ชาวบ้านต้องการเสนอคือ ต่อให้มีน้ำ ชาวบ้านจะอยู่อย่างไร

สุรสมกล่าวว่า แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ตอนนี้เราต้องมาเพิ่มน้ำหนักให้กับภัยที่เกิดจากมนุษย์ หรือปัญหาสังคมที่เราจัดการไม่ดี แต่ตอนนี้น้ำท่วมกลายเป็นเรื่องชดเชยและเยียวยา ซึ่งไม่สามารถทำได้เท่าที่เราสูญเสียไป เช่น รายได้ อาชีพ

นอกจากนี้ อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่เสี่ยงจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่สุดในประเทศไทยด้านภัยแล้ง ปัญหาของอุบลราชธานีเป็นความมั่นคงทางอาหาร เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำไมเราไม่สนใจเรื่องนี้

โครงการสร้างเขื่อนภูงอยที่อาจจะเกิดขึ้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า เรามักมีฉากทัศน์ที่สวยงาม เช่น เขื่อนปากมูล เราคิดว่าจะมีปลามากระโจน แต่มันไม่เป็นความจริง ตนเองเห็นว่า เราควรคิดฉากทัศน์ในแง่ลบที่สุดก่อนดีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีโครงการสร้างเขื่อนบ้านกุ่ม แต่มีการศึกษาว่าจะส่งผลให้มีน้ำท่วมสามพันโบกที่เป็นแหล่งเรียนรู้ธรณีวิทยาและแหล่งท่องเที่ยว โครงการนี้จึงล้มเลิกไป

ตอนนี้ก็มาเป็นโครงการเขื่อนภูงอย ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า น้ำอาจจะล้นจากเขื่อนมาที่จังหวัดอุบลราชธานีได้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะท่วมถึงไหน มากน้อยอย่างไร ต้องให้วิศวกรมาอธิบายให้ชาวบ้านฟังและตัดสินใจว่าเชื่อได้หรือไม่ และคำถามคือชาวบ้านจะมีเสียงในการจัดการเรื่องนี้หรือไม่

หากถามว่า ชาวอุบลฯ หยุดเขื่อนภูงอยได้หรือไม่ ตนคิดว่าทำได้ เพราะที่ผ่านมาทำสำเร็จได้ในการคัดค้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เขื่อนสิรินธรมาแล้ว

ในการสร้างเขื่อนภูงอย ตนเองมีคำถามว่า เขื่อนมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนสำหรับคนอุบลฯ นิคมอุตสาหกรรมอุบลฯ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟจากเขื่อนเสมอไป มันก็ไม่มีความจำเป็น ไฟสำรองตอนนี้ก็เกินมากจนเกินพอดี เราอย่าคิดว่าเราเป็นแค่คนธรรมดา แต่จริงๆ เรามีสิทธิในฐานะที่จ่ายค่าไฟฟ้าบอกว่า ไม่ต้องการสร้างเขื่อนได้หรือไม่

“คำถามคือ เราในฐานะผู้บริโภคที่สนับสนุนการสร้างเขื่อนทางอ้อมผ่านการจ่ายค่าไฟฟ้า เรามีสิทธิไหมที่จะบอกได้ว่า เราไม่ต้องการไฟจากการสร้างเขื่อน แต่เอาจากพลังงานทางเลือกอื่น”

สุรสมเสนอว่า ควรจะเปิดข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคมว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเห็นว่าการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ถ้ามีการเปิดเผยว่า จะมีการท่วมแก่งตะนะจริง ประชาชนก็จะได้หาข้อมูลและตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไร

จารุณี อนุพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี และทีม #Saveubon กล่าวว่า ตนเองอยู่อุบลฯ มาตั้งแต่เกิดก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงว่าจากเดิมที่เคยท่วม 17 ปีหนหนึ่ง 7 ปี หนหนึ่ง จนตอนนี้กลายเป็นว่าเป็นการท่วมปกติไปแล้ว จากสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2562 ถึง 2565 พบว่ามีการจัดการที่ดีขึ้น โดยเมื่อปี 2562 ตนเองได้ร่วมกับคนอื่นๆ ฟอร์มทีมขึ้นมาเป็น #Saveubon คอยปักหมุดจุดน้ำท่วมในกูเกิลแมพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเฝ้าระวังและเช็กจุดสัญจรได้ จัดการการเดินทาง รวมถึงจุดพักพิง ผู้ป่วยติดเตียง ต่อมาในปี 2565 ก็มีการสร้าง super openchat โดย Ubon Connect

จารุณี กล่าวว่า จากหัวข้อเสวนา “คนอุบลเอาบ่?” อยากตอบคำถามด้วยคำถามว่า “ถ้าไม่เอา ได้ไหม” เมื่อได้ยินว่าอาจจะมีโครงการเขื่อนภูงอย ก็ใจไม่ค่อยดีเล็กน้อย จำได้ว่า 30 ปีก่อนเคยไปร่วมลงชื่อไม่เอาเขื่อนปากมูลแล้ว ตอนนี้ก็มีการสร้างเขื่อนอีกแล้ว ตนเองคาดว่าโซนที่เป็นลุ่มน้ำโขง พื้นที่ธรณีวิทยาต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

ถ้าเขื่อนภูงอยมา มีน้ำเท้อมา เราต้องมีข้อมูล ไม่อย่างนั้นจะวางแผนไม่ได้ ตนเองยังสงสัยว่าคนอุบลฯ เลือกได้หรือไม่ เราต้องการพลังงานเท่านี้จริงหรือไม่ ประเทศพัฒนาแล้ว มีการเก็บกักพลังงานมากเท่านี้หรือไม่ ตนเองไม่มีความมั่นใจจากข้อเสนอต่างๆ ว่าจะเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ จะหมดคำถามก็ต่อเมื่อทำได้จริง 

“ในฐานะคนสอนหนังสือ ถามว่าเด็กๆ รู้ข้อมูลเรื่องเขื่อนภูงอยหรือไม่ รู้หรือไม่ว่ามีสิ่งนี้อยู่ เราอาจจะไม่ได้ให้ข้อมูลจากฝั่งเดียว แต่ให้ข้อมูลหลายด้าน รวมถึงของภาครัฐ และฝึกให้เขาเป็นพลเมืองโลก ให้ชั่งใจ เพราะเขาก็จะอยู่ต่อในโลกนี้ ต้องเผชิญกับการตัดสินใจของคนลงทุน คนเซ็นสัญญา 29 ปี จะเจอกับอะไรบ้าง ภาครัฐก็ควรให้ข้อมูล ทำให้เขาได้คิดว่าต้องทำอย่างไร ต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เรายังหวังว่าภาครัฐจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้”

บุญทัน เพ็งธรรม ประธานเครือข่ายอาสาชุมชนป้องกันภัยพิบัติจังหวัดอุบลราชธานี (อชปภ.) กล่าวว่า จากประสบการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา มองว่าการทำงานของภาครัฐประสานงานยังไม่ดีพอ ปี 2562 ซึ่งเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ ชาวบ้านขนของไม่ทัน ต่อมาปี 2565 หน่วยงานรัฐประกาศว่าไม่เท่ากับปี 2562 ชาวบ้านจึงรับมือตามระดับน้ำในปี 2562 แต่ปรากฏว่าน้ำมามากกว่าปี 2565 ส่งผลให้การอพยพชาวบ้านก็ทำได้ไม่ทัน หน่วยงานรัฐแจ้งไม่ชัดเจน ทั้งที่ชุมชนเข้มแข็ง มีการซ้อมเหตุภัยพิบัติต่างๆ ต่างคนต่างทำ ชาวบ้านอยู่ที่เดิม ถึงชาวบ้านจะเตรียมตัวแค่ไหน ถ้าหน่วยงานไม่ประสานงาน ชาวบ้านก็ต้องรับมือเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามในปี 2567 ที่อุบลราชธานีไม่โดนพายุเต็มที่ ก็มีหน่วยงานลงพื้นที่ มีการเตรียมเครื่องสูบน้ำ ต่างจากอดีตที่น้ำท่วมมาแล้วค่อยเอาเครื่องสูบน้ำมา

แม้เราจะห้ามฝนฟ้าอากาศไม่ได้ แต่หน่วยงานจะมีมาตรการบริหารจัดการอย่างไรให้ชาวบ้านอยู่กับน้ำได้ พักหลังที่มีภัยรุนแรง มีความเสียหายมากขึ้น เส้นทางน้ำไม่เหมือนเดิม มีเขื่อนกั้น น้ำเอ่อ ท่วมนาน แต่ก่อนท่วมไม่เกิน 1 เดือน

ถ้ามีเขื่อนภูงอยมาคิดว่าน้ำจะท่วมกว่าเดิม เพราะว่าปกติมีแต่ปากมูลก็ท่วมทุกปี น้ำไม่มีทางออก ชาวบ้านก็จะจนกว่าเดิม ลูกหลานที่เกิดมาอยู่ในพื้นที่ที่พ่อแม่อยู่ ตนเองจะอยู่อย่างไร

“ตอนน้ำท่วม เราต้องย้ายที่อยู่ แต่พอน้ำลด เรายังต้องจ่ายค่าไฟ ไม่รู้เขาเอาอะไรไปคิด เป็นอย่างนี้ทุกปี 

เราไปขอลดหย่อนไม่ได้ ได้แต่ขอผ่อนจ่าย ทั้งประปา ไฟฟ้า ประชาชนที่ถูกน้ำท่วมก็ยังต้องจ่าย เป็นหนี้สินอยู่แล้ว ยิ่งมีเขื่อนมา ประชาชนยิ่งหากินยาก ลืมตาอ้าปากไม่ได้”

ข่าวยอดนิยม

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นยังเป็นการเปิดให้แสดงความคิดเห็นผ่านใต้โพสต์เฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของ

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net Zero จะรักสิ่งแวดล้อมยังไง

ใน ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร’ วันที่ 24 มีนาคม 2568 มีการกล่าวถึงนโยบายค่าไฟฟ้าของรัฐบาลที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น ค่าความพร้อมจ่าย โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน แผน PDP 2024 ล่าช้า และการเซ็นสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนใหม่ในลาว

เนื่องในวันปฏิบัติการเพื่อแม่น้ำสากล หรือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Action for Rivers : Against

ครบรอบ 1 ปีการเลือกตั้งทั่วไป ชวนเช็กความคืบหน้านโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลหาเสียงไว้

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่ใช่แค่น้ำเท้อที่จะทำลายพืชผลการเกษตร แต่เขื่อนปากแบง กำลังจะทำให้เกิดอ่างพิษของสารหนูจากเหมืองแรร์เอิร์ธที่ไหลมารวมกันในแม่น้ำโขง 

โครงการเขื่อนปากแบง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการก่อสร้างในปีนี้ และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  นอกจากปัญหาหลักในส่วนของประเด็นเรื่องพลังงาน ทั้งการที่กำลังการผลิตของไทยล้นเกินอยู่แล้ว เขื่อนในลาวที่ไทยซื้อไฟผลิตไฟได้น้อยลงเรื่อยๆ จากปัญหาระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ผันผวนอันเกิดมาจากทั้งเขื่อนแม่น้ำโขงของจีนที่ต้นน้ำ ที่กักและปล่อยน้ำจนทำให้ระดับน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ รวมไปถึงปรากฏการณ์เอลนิโญ่อันมีสาเหตุมาจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้หน้าแล้งน้ำในแม่น้ำโขงลดลง และราคารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนใหม่แพงมากขึ้น […]

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างเขื่อนที่ไทยซื้อไฟในประเทศลาว

ในการจะสร้างเขื่อนแห่งใหม่ในประเทศลาวที่จะเสนอขายไฟให้กับประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องได้ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า – Tariff MOU ก่อนจะนำไปสู่การเจรจากับผู้พัฒนาโครงการเพื่อจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Tariff Power

เขื่อนโขงของไทยในลาว – บททดสอบ “ธุรกิจยั่งยืน” ที่ไทยยังไม่ผ่าน

ในยุคแห่ง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” ธนาคารพาณิชย์น้อยใหญ่ทั่วโลกต่างประกาศรับมาตรฐานและหลักการสากลต่างๆ ด้าน “ธุรกิจยั่งยืน” มาประดับบารมี ขับเคลื่อนกลยุทธ์ความยั่งยืนขององค์กร และสร้างการยอมรับจากสังคม