ไทม์ไลน์แนวคิดการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย

แนวคิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศไทยอาจย้อนกลับไปได้ถึงปี 2504 ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พ.ศ. 2504 ในสมัยรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อวิจัยค้นคว้าและนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ รวมทั้งควบคุมความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานและประชาชนทั่วไป ซึ่งได้มีการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเป็นครั้งแรก ที่เขตบางเขน กรุงเทพฯ 

ความพยายามก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ครั้งแรกมีขึ้นในปี 2509 เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต่อรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เพื่อศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ณ อ่าวไผ่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จนในปี 2517 รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ออกคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับที่ 166 ประกาศให้บริเวณอ่าวไผ่เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และในปี 2520 กฟผ.เสนอโครงการกลับเข้ามาใหม่และได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลที่คาบเกี่ยวในยุครัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร และรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ปีถัดมา 2521 รัฐบาลอนุมัติให้เปิดประมูล แต่ก็เลื่อนโครงการไปไม่มีกำหนดเพราะประชาชนคัดค้าน และมีการค้นพบก๊าซธรรมชาติหลุมแรกในอ่าวไทย

จนกระทั่งปี 2532 มติคณะรัฐมนตรี 27 ธ.ค. 2532 รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ให้สำนักงานพลังปรมาณูเพื่อสันติ ย้ายเครื่องปฏิกรณ์ฯ จากบางเขนไปยังตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยเปลี่ยนเป็นโครงการก่อสร้าง “โครงการศูนย์วิจัยนิวเคลียร์องครักษ์” แทน หลังจากร่วมประชุมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) แล้วเห็นว่า เตาปฏิกรณ์ฯ ที่บางเขนอยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง 8 กิโลเมตร ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักความปลอดภัยสากลที่จะต้องอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติ 14 กิโลเมตร แต่ในทางเทคนิคไม่สามารถย้ายเตาปฏิกรณ์ฯ ได้ จึงนำไปสู่การเสนอซื้อเครื่องใหม่

เริ่มมีการบรรจุแนวคิดการวางแผนใช้ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติครั้งแรก ในฉบับที่ 7 ซึ่งอนุมัติโดยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2534 ซึ่งเนื้อหาด้านการลงทุนและปรับปรุงคุณภาพไฟฟ้าระบุว่า “พิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า ทั้งทางเศรษฐศาสตร์เทคโนโลยีและความปลอดภัยและเริ่มประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจอย่างต่อเนื่อง”

ปี 2540 มีกระบวนการสรรหาผู้รับจ้างดำเนินการออกแบบและก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ฯ ที่อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2532 บริษัท เจเนอรัล อะตอมิกส์ หรือจีเอ (General Atomics: GA) สหรัฐอเมริกา เป็นบริษัทที่ได้รับคัดเลือกและลงนามเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2540 แต่ต้องหยุดหลายครั้งเนื่องจากปัญหาความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ต่อมา วันที่ 31 มี.ค. 2549 สำนักงานพลังปรมาณูเพื่อสันติได้บอกเลิกสัญญา

แผนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ชัดเจนขึ้นอีกครั้งในช่วงทศวรรษ 2550 เมื่อปรากฏในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2550-2564 (PDP 2007) ซึ่งกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ 4 โรง ในปี 2563 และ 2564 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละ 1,000 เมกะวัตต์ แผน PDP ฉบับนี้ลงนามโดยรัฐบาลคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดย พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เมื่อ 19 มิ.ย. 2550 จากนั้นก็มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2550 เห็นชอบในหลักการแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (NPIEP) เบื้องต้น โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสม โดยมีการเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 – 2553) จำนวน 1,800 ล้านบาท

ถัดมา 18 ธ.ค. 2550 ครม.อนุมัติแผน PDP 2007 ปรับปรุงครั้งที่ 1 ยังคงแผนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่จากพลังงานนิวเคลียร์ 4 โรง รวม 4,000 เมกะวัตต์ โดยในเดือนต่อมา วันที่ 31 ม.ค. 2551 ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (สพน.) อย่างเป็นทางการ

9 มี.ค. 2552 ครม.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อนุมัติแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2550-2564 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 (PDP 2007 Revision 2) ซึ่งกำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2,000 เมกะวัตต์ มีการจัดทำแผน PDP ใหม่อีกครั้ง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เห็นชอบแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2553-2573 (PDP2010) เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2553 โดยกำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 5 โรง ขนาดกำลังการผลิตโรงละ 1,000 เมกะวัตต์

เหตุภัยพิบัติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2554 มีอุบัติเหตุจนนำสู่การปรับปรุงแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยวันที่ 27 เม.ย. 2554 ครม.อนุมัติแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งปรับลดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหลือ 4 โรง รวม 4,000 เมกะวัตต์ และต่อมามีมติ ครม. เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2554 ให้ลดสัดส่วนกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์จากเดิมในแผน PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 ลงเหลือไม่เกินร้อยละ 5 ของกำลังการผลิตทั้งหมดในระบบ และเลื่อนโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ออกไปอีก 3 ปี จากปี 2566 เป็นปี 2569 เพื่อขยายเวลาเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์จากบทเรียนอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในญี่ปุ่น และสร้างการยอมรับจากประชาชน หลังจากนั้น วันที่ 8 มิ.ย. 2555 ครม.โดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อนุมัติ แผน PDP2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 มีพลังงานนิวเคลียร์อยู่ในแผน 2,000 เมกะวัตต์

แต่ในปี 2557 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นชอบแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2558-2579 (PDP2015) โดยในแผนมีการกำหนดให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จำนวน 2 โรง ในปี 2569 และ 2570 จำนวนโรงละ 1,000 เมกะวัตต์

ต่อมาในปี 2559 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.พลังงานนิวเคลียร์ในเดือนมีนาคม และประกาศใช้พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์ พ.ศ. 2559 เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2559

ในปี 2560 รัฐบาล คสช. โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ออก “แผนปฏิบัติการของนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560-2564” ตาม “กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ” โดยออกแบบสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย กำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ ในพื้นที่โครงการศูนย์วิจัยนิวเคลียร์องครักษ์

ทั้งนี้ แม้แผน PDP 2018 ที่ ครม. มีมติเมื่อ 30 เม.ย. 2562 ไม่มีโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปรากฏในแผนแล้ว แต่ “โครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเครื่องใหม่ เพื่อการแพทย์ เกษตรกรรม และอุตสาหกรรม” อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ที่อยู่ภายใต้ “แผนปฏิบัติการของนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศระยะ 5 ปี พ.ศ. 2560-2564” ยังคงดำเนินการอยู่ โดยมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นเป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2566

จะเห็นได้ว่าประเทศไทย แม้จะมีความพยายามก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์มาตั้งปี 2509 และปรากฏอยู่ในแผน PDP ครั้งแรกมาตั้งแต่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2550-2564 (PDP 2007) แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่รัฐและ กฟผ. วางแผนเอาไว้ 

และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งเมื่อวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวถึงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงาน (PDP) ฉบับใหม่ที่จะออกมา ว่ามีการบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก 70-350 เมกะวัตต์ ไว้ในแผนฉบับนี้ และจะต้องมีการเปิดรับฟังความเห็นประชาชน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง https://justpow.co/article-nuclear-pdp/

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไทยติดกับดักเชื้อเพลิงฟอสซิล แผนพลังงานสวนทางเป้าหมาย Net Zero 2050

วันนี้ (7 พ.ย. 2025) JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงาน “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

พืชผลการเกษตรและคุณภาพชีวิตรอบโรงไฟฟ้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง

น้ำจะพอไหม หากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ต้องใช้น้ำจากคลองระบม 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี 

โรงไฟฟ้าประเภทความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า จะต้องมีการใช้น้ำหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าความร้อนเพื่อระบายความร้อนออกจากระบบ โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ น้ำจะถูกสูบเข้ามาเพื่อใช้หล่อเย็นในระบบปิด และจะไหลเวียนในระบบเพื่อลดอุณหภูมิของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กังหันไอน้ำหรือหม้อไอน้ำ ก่อนจะนำกลับไปใช้ใหม่หรือปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำ เช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พบว่าโครงการจะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลบ.ม./วัน หรือประมาณ 4.32 ล้านลบ.ม./ปี โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลบ.ม./วัน นอกจากนี้ในเอกสาร EIA ยังระบุว่าน้ำที่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย นั้นได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ในกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำและบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย […]

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้ สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่  สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า […]