การเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก?

พีรยา พูลหิรัญ และธัญญาภรณ์ สุรภักดี
โครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand)

Image by Ran_Ran from Getty Images

‘การรับมือกับวิกฤติโลกเดือด’ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการรั้งอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้โลกเดินไปสู่จุดที่ไม่มีวันหวนกลับได้ ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อปี 2015 หรือ COP21 ณ กรุงปารีส ได้มีการจัดทำความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก นำไปสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ลงอย่างน้อย 45% (เมื่อเทียบกับปี 2010) ภายในปี 2030 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2050 

ส่งผลให้ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องร่วมดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในนั้นคือเร่งเดินหน้าสู่การเปลี่ยนพลังงาน บทความฉบับนี้จะพาคุณไปสำรวจการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยว่ายืนอยู่ตรงจุดไหนเมื่อเทียบกับนานาประเทศ และสามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้หรือไม่ ภายใต้สถานการณ์โลกเดือดที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมต้อง ‘เปลี่ยนผ่านพลังงาน’

การเปลี่ยนผ่านพลังงาน หรือ Energy Transition คือการเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคพลังงานซึ่งเป็นภาคที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ดังนั้น ‘การเปลี่ยนผ่านพลังงาน’ จึงเป็นภารกิจที่ทั่วโลกเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเป็นสิ่งที่ ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ หากต้องการหยุดยั้งวิกฤตในครั้งนี้

นอกจากเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2030 จะถูกระบุไว้ในการประชุม COP21 แล้ว การประชุม COP27 ยังคงย้ำให้ทุกประเทศทบทวนและตั้งเป้าหมายในปี 2030 ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในการประชุม COP28 ได้มีข้อเรียกร้องให้ทั่วโลกเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่าภายในปี 2030 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงานอย่างเร่งด่วน จะเห็นได้ว่าปี 2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทั่วโลกกำลังจับตามองเพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน ก่อนที่จะก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย 

จากรายงาน 2030 Global Renewable Target Tracker ซึ่งจัดทำโดย Ember องค์กรที่ทำงานด้านข้อมูลและนโยบายเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ได้ทำการสำรวจและติดตามเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนในปี 2030 ของ 85 ประเทศทั่วโลก ประเมินว่าไทยไม่มีเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ณ ปี 2030 โดยเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุดของไทยถูกกำหนดไว้ในแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2561-2580 (AEDP2018) ซึ่งพบว่าในปี 2037 ไทยจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนร้อยละ 37 นับว่าช้ากว่าหมุดหมายของโลกถึง 7 ปี

นอกจากนี้ Ember ยังได้ประเมินว่าการกำหนดเป้าหมายสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของไทย ณ ปี 2030 ยังไม่ชัดเจน โดยพิจารณาจากมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 2/2566 ซึ่งมีมติเห็นชอบแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในช่วงปี 2021-2030 (พ.ศ. 2564-2573) เพื่อสนับสนุนให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30 – 40 (เมื่อเทียบกับปี 2005) ภายในปี 2030 ตามที่ระบุไว้ในแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 หรือ NDC2 ซึ่งไทยประกาศไว้ใน COP26 เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 และ 2065 ตามลำดับ 

ซึ่งแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พ.ศ. 2564-2573 ทำให้ในปี 2030 ไทยจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 22 กิกะวัตต์ ประกอบด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ 10 กิกะวัตต์ พลังงานลม 4 กิกะวัตต์ พลังงานน้ำ พลังงานชีวภาพ และอื่น ๆ รวม 8 กิกะวัตต์ 

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่าความเชื่อมั่นต่อการบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนของไทยอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากไม่ได้มีการทบทวนหรือปรับปรุงเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนที่กำหนดไว้ในแผน AEDP2018 ทำให้เป้าหมายดังกล่าวไม่สอดคล้องกับแผน NDC2 ที่ไทยได้ประกาศไว้ต่อชาวโลก

การเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยบนแผนที่โลก

เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลของไทยจากรายงาน ‘2030 Global Renewable Target Tracker’ กับประเทศอื่นๆ พบว่า ไทยเป็น 1 ใน 17 ประเทศที่ไม่มีการกำหนดเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในปี 2030 รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และเมียนมาก็ไม่มีการกำหนดเป้าหมายเช่นเดียวกับไทย ในขณะที่สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ได้กำหนดเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในปี 2030 มากกว่าร้อยละ 50 เนื่องจากประเทศเหล่านี้มีแผนที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero อย่างช้าที่สุดภายในปี 2050 

อย่างไรก็ตาม เราสามารถเห็นความก้าวหน้าด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานของบางประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนามที่กำหนดเป้าหมายสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในปี 2030 ถึงร้อยละ 47 ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน และ Ember ได้ประเมินว่าเวียดนามมีความเชื่อมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในระดับสูง โดยแผนพลังงานของเวียดนามมีเป้าหมายเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนที่ให้ความสำคัญกับพลังงานแสงอาทิตย์และลม ควบคู่ไปกับการสร้างระบบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) สอดรับกับการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 

 ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ก็ได้มีการกำหนดเป้าหมายและสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไว้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับประเทศมาเลเซียที่มีทั้งเป้าหมายและแผนการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับชาติเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านพลังงานโดยเฉพาะ ซึ่งต่างจากไทยที่ไม่มีเป้าหมายและแผนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ชัดเจนมารองรับ รวมถึงการกำหนดเป้าหมาย Net Zero ที่ถือว่าล่าช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน

ไทยพร้อมแค่ไหนสำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน?

นอกจากการสำรวจคุณภาพของเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทย เราลองมาสำรวจความพร้อมของไทยต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน จากข้อมูลในรายงานดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition Index) ซึ่งจัดทำขึ้นทุกๆ ปี โดย World Economic Forum ในรายงานฉบับล่าสุดเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า ไทยมีคะแนนดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานรวม 55.8 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) อยู่อันดับที่ 60 จาก 120 ประเทศ และมีอันดับลดลงจากปีที่แล้วซึ่งไทยอยู่ในอันดับที่ 54 ขณะที่หลายประเทศในกลุ่มอาเซียนมีอันดับสูงกว่าไทย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มีคะแนนอยู่ในอันดับที่ 32 40 และ 54 ตามลำดับ 

ทั้งนี้ การจัดทำดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงานมีการประเมิน 2 ด้านหลัก ได้แก่

  1. ด้านประสิทธิภาพของระบบพลังงาน โดยพิจารณาจากมิติความเป็นธรรม ความมั่นคงทางพลังงาน และความยั่งยืน 
  2. ด้านความพร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยพิจารณาจากมิติกฎระเบียบและความมุ่งมั่นทางการเมือง การเงินและการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม และการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์

จากผลการประเมินดัชนีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน พบว่าในด้านประสิทธิภาพของระบบพลังงาน ไทยมีคะแนนรวม 65 คะแนน ตัวชี้วัดที่มีคะแนนค่อนข้างดีคือ การเข้าไฟฟ้าซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้ และระบบไฟฟ้าค่อนข้างเสถียร มีอัตราการเกิดปัญหาไฟตกไฟดับต่ำ แต่ยังมีบางตัวชี้วัดที่ชี้ว่าไทยยังขาดประสิทธิภาพ ได้แก่ พึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งมากเกินไป และก๊าซธรรมชาติมีราคาแพง ทำให้ค่าไฟครัวเรือนมีราคาแพงตามไปด้วย อีกทั้งมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนต่ำ 

 สำหรับด้านความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ไทยมีคะแนนรวม 51 คะแนน ตัวชี้วัดที่มีคะแนนค่อนข้างดีคือ มีแหล่งเงินทุนในประเทศสำหรับการลงทุนของภาคเอกชน ส่วนตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำได้แก่ กฎระเบียบที่ไม่เอื้อให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ มีสัดส่วนการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนต่ำ ขาดการคิดภาษีคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็นกลไกที่ทั่วโลกใช้เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ขาดการขยายกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียน รวมถึงขาดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมอย่างโซลาร์เซลล์ หรือกังหันลมผลิตไฟฟ้า ในมิติด้านการศึกษาและทรัพยากรบุคคล ไทยได้คะแนนต่ำที่สุดเนื่องจากขาดแรงงานที่มีทักษะในระดับปานกลางและระดับสูง รวมถึงสัดส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนมีไม่มากในตลาดแรงงาน

ก้าวหน้า…? หรือพัฒนาได้มากกว่านี้ ?

จากผลการประเมินของ Ember และ World Economic Forum คงพอช่วยทำให้เห็นว่าที่ผ่านมาไทยยืนอยู่ตรงจุดไหนในเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงานเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ถึงแม้ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP2024 ซึ่งกำลังจะมีการประกาศใช้ ได้ตั้งเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไว้ 51% ณ ตอนสิ้นสุดแผนในปี 2037 เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามที่ได้สัญญาไว้กับประชาคมโลก แต่ยังมีข้อคำถามเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

  • ปี 2030 และ 2037 ยังคงมีการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่ถึง 67 % และ 48 % ตามลำดับ โดยที่ยังไม่มีแผนปลดระวางโรงไฟฟ้าฟอสซิลออกจากระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงไฟฟ้าถ่านหิน
  • มีแผนสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลเพิ่มอีก 8 โรง จำนวน 6,300 เมกะวัตต์
  • ในเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด 51% มีการวางแผนซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในสปป.ลาวเพิ่มจำนวน 3,500 เมกะวัตต์ ทั้งที่มีผลการศึกษาวิจัย รวมถึงหลักฐานเชิงประจักษ์แล้วว่า การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตชุมชนอย่างไรบ้าง ถึงแม้การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนจะไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ตาม
  • ถึงแม้ในปี 2037 จะมีการกำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ 16% แต่ไม่มีการกำหนดเป้าหมายผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคาที่ชัดเจน ทั้งที่มีผลการศึกษาว่าไทยมีศักยภาพในการติดตั้งรวม 34,741 เมกะวัตต์ 

และเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา มีการเปิดเผยว่าทางกระทรวงพลังงานกำลังพิจารณาเพิ่มเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในร่างแผน PDP2024 จากเดิม 30% เป็น 40% 

จากนี้ไปเราคงต้องช่วยกันติดตามว่าผลการทบทวนและพิจารณาปรับปรุงร่างแผน PDP2024 จะออกมาเป็นอย่างไร การเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยจะก้าวหน้ากว่านี้ได้หรือไม่ และมีความพร้อมแค่ไหนต่อการรับมือวิกฤตโลกเดือด ภายใต้แผน PDP ฉบับใหม่

รายการอ้างอิง

กรมองค์การระหว่างประเทศ. (ม.ป.ป.). ความตกลงปารีส: ก้าวสำคัญของการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ. https://thai-inter-org.mfa.go.th/th/page/menu=5d847835517e9b159b5eba97 

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ. (2567). เมื่อโลกร้อนและรวน: ภาคส่วนใดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด?. https://www.undp.org/stories/greenhouse-emissions-thailand-

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. (2566). มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2566 (ครั้งที่ 165) วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม 2566. https://www.eppo.go.th/epposite/index.php/th/component/k2/itemlist/category/429-resolutionsn  

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน. (2567). เอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็น ร่างแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าของประเทศไทย .. 2567-2580 (PDP2024) และร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ .. 2567-2580 (Gas Plan 2024). https://drive.google.com/file/

Ember. (n.d.). 2030 Global Renewable Target Tracker. https://ember-climate.org/data/data-tools/global-renewable-power-target-tracker-2030/ 

JustPow. (2567). 13 ข้อสังเกตต่อร่างแผน PDP2024. https://justpow.co/project-ebook-pdp/ 

JustPow. (2567). สัดส่วนเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ปี 2529-2566. https://justpow.co/infographicfuel-consumption-power-generation/  

World Economic Forum. (2024). Fostering Effective Energy Transition 2024. https://www.weforum.org/publications/fostering-effective-energy-transition-2024/  

United Nations. (n.d.). For a livable climate: Net-zero commitments must be backed by credible action. https://www.un.org/en/climatechange/net-zero-coalition 

United Nation. (n.d.). The Paris Agreement. https://unfccc.int/process-and-meetings/the-paris-agreement  

บทความยอดนิยม

ความเป็นมาของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และทำไมจึงมีถึงสองรอบ? โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 เป็นผลพวงมาจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของไทยให้มากขึ้น  โดยโครงการได้ดำเนินการไปแล้ว 2 รอบ ได้แก่ โครงการรอบแรก เปิดให้รับซื้อไปเมื่อช่วงปี 2565 เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้ารวม 5,203 เมกะวัตต์ มีผู้ผ่านคัดเลือก 175 โครงการ ปริมาณไฟฟ้ารับซื้อจริง 4,852.26 เมกะวัตต์ ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อีก 350.74 เมกะวัตต์ โดยมีการทยอยลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับผู้ผ่านการคัดเลือกไปจนเกือบครบแล้ว และโครงการรอบเพิ่มเติม เปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากรอบแรก ตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 เพื่อตอบสนองความต้องการของเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งสองรอบมีปัญหาอะไร? แม้โครงการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่ออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นการตอบสนองเชิงนโยบายต่อเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด แต่โครงการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในด้านความโปร่งใส และถูกมองว่าอาจสร้างภาระค่าไฟให้ประชาชนต้องแบกรับไปอีกหลายสิบปี โดยมีคำถามและข้อสังเกตหลายประเด็น ได้แก่ […]

พีดีพีคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับบิลค่าไฟของเรา
เงิน Claw Back คืออะไร? มีบทบาทอย่างไรในการลดค่าไฟฟ้า รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานเท่าไหร่
แผน PDP มีที่มาอย่างไรและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ภาคประชาชนทวงแผน PDP พร้อมเรียกร้องการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต้องมีตัวแทนภาคประชาสังคมและประชาชนอยู่ในคณะกรรมการร่างแผน PDP

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก ภาคพลังงานกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net

สรุปประเด็นสำคัญจากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg