ย้อนรอย PDP แผนนี้ใครกำหนด…?

ปองภพ ดั่นสมานฉันท์ชัย

แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือที่หลายคนเรียกว่าแผน PDP (Power Development Plan) คือแผนแม่บทในการจัดหาไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ประเทศไทยมีไฟฟ้าเพียงพอต่อความต้องการใช้งานในแต่ละพื้นที่และครอบคลุมทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน และภาคการเกษตร

เราจึงอยากพาทุกคนมาสำรวจความเป็นมาของแผน PDP ว่ามีที่มาอย่างไรและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา

จุดเริ่มต้นของแผน PDP

แผน PDP เริ่มต้นขึ้นในปี 2530 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด หลังการขุดพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและเริ่มผลิตก๊าซในเชิงพาณิชย์ครั้งแรกเมื่อปี 2524 ทำให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า จนนำไปสู่การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออก ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดังวลีของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น ที่ได้กล่าวไว้ว่า “นับจากนี้ประเทศไทยจะพัฒนาก้าวหน้าและโชติช่วงชัชวาล”1

ผลจากการที่ประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตามไปด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่ผลิต จัดหา และจำหน่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศในขณะนั้น ได้จัดทำแผน PDP ฉบับแรกขึ้นภายใต้ชื่อ “แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2530–2335” เพื่อเป็นแผนรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่สูงขึ้นในอนาคต โดยมีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และสำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่ดูแลและกำหนดนโยบายการบริหารพลังงานของประเทศ

แผน PDP หลังการเข้ามามีบทบาทของเอกชน

ในช่วงเวลาที่แผน PDP ฉบับแรกประกาศใช้ ประเทศไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจึงมีแนวคิดในการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตและขายไฟฟ้าให้ กฟผ. โดยมีการจัดทำระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน รวมทั้งศึกษาความเหมาะสมในการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันลงทุน และก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ด้วยวิธีประกวดราคาเพื่อช่วยลดภาระการลงทุนของภาครัฐ

ต่อมา กฟผ. ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กหรือ SPP (Small Power Producer) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 และได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่หรือ IPP (Independent Power Producer) เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537

กระทั่งปี 2543 รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ได้จัดตั้งตลาดกลางในการซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) และมีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าโดยให้กิจการของ กฟผ. ให้ดำเนินงานในรูปแบบของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน ผ่านการประกาศใช้ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ที่มุ่งให้โรงไฟฟ้าเดิมของ กฟผ. สามารถเข้าแข่งขันในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าได้ ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้ภาคเอกชนก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

แผน PDP ภายใต้การเกิดขึ้นของกระทรวงพลังงาน

ในปี 2545 ภายใต้รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร มีแนวนโยบายปฏิรูประบบราชการของประเทศไทย เพื่อพัฒนาการทำงานของหน่วยงานราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยยุบหน่วยงานที่ไม่จำเป็น เพื่อลดขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และจัดตั้งหน่วยงานใหม่อีกหลายหน่วยงานเพื่อให้มีภารกิจที่ชัดเจนขึ้น หนึ่งในนั้นคือการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อบริหารกิจการที่เกี่ยวข้องกับระบบพลังงานของประเทศไทย พร้อมกับโอนย้ายสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) มาสังกัดกระทรวงพลังงาน และได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)

แผน PDP 2004 เป็นแผนฉบับแรกที่ประกาศใช้ภายหลังการจัดตั้งกระทรวงพลังงาน และยังเป็นแผนฉบับแรกที่ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย” อย่างไรก็ตามแผน PDP2004 ยังคงจัดทำโดย กฟผ. กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กระทรวงพลังงานจึงเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำแผน PDP ตั้งแต่แผน PDP2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 เป็นต้นมา

การส่งเสริมบทบาทของเอกชนในการผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้ กฟผ. ลดบทบาทในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าลง และปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนแทน พร้อมกับเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าและเพิ่มบทบาทในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้ามากเรื่อยๆ กระทั่งเอกชนมีบทบาทนำในการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบของประเทศในท้ายที่สุด จึงส่งผลให้แผน PDP ซึ่งเป็นแผนแม่บทในการจัดหาไฟฟ้าตั้งแต่แผน PDP2004 เป็นต้นมา เสมือนว่าเป็นแผนการจัดหาไฟฟ้าโดยซื้อจากภาคเอกชนเป็นหลัก

เห็นได้จากสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าในระบบของ กฟผ. ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พบว่า โรงไฟฟ้าของ กฟผ. ในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2544 เพียง 1,920 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าจากการทำสัญญาซื้อขายไฟกับเอกชนรายใหญ่และเล็กมีจำนวนเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 19,250 เมกะวัตต์ มากกว่าของ กฟผ. ถึง 10 เท่า และยังไม่นับรวมกำลังการผลิตจากการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2544 อีกกว่า 5,895 เมกะวัตต์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงไฟฟ้าและเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้านที่เกิดจากการร่วมลงทุนของบริษัทเอกชนจากประเทศไทยเช่นเดียวกัน

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567) กำลังการผลิตของ กฟผ. มีสัดส่วน 32.06% ขณะที่สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนคิดเป็น 55.64 % ของสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในระบบทั้งหมด โดยแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 37.41% และโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 18.25% สัดส่วนที่เหลือเป็นการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 12.3%

เกือบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงมากมายของแผน PDP ตั้งแต่การเริ่มจัดทำแผนโดย กฟผ. สู่การถ่ายโอนความรับผิดชอบแก่กระทรวงพลังงาน รวมถึงการมีบทบาทนำของภาคเอกชนในผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ คำถามที่สำคัญข้อหนึ่งจากการย้อนรอยแผน PDP ที่ผ่านๆ มา คือ “บทบาทของประชาชนอยู่ตรงไหน?” ในการกำหนดทิศทางการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทย เพราะเกือบ 4 ทศวรรษที่ผ่านมาเราเห็นเพียงการถ่ายโอนบทบาทผู้ผลิตไฟฟ้าจากภาครัฐสู่ภาคเอกชน แต่ในวาระที่ “ค่าไฟแพง” ถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน ภายใต้การส่งผ่านต้นทุนทุกอย่างถูกส่งมายังผู้บริโภคผ่านบิลค่าไฟ การวางแผนให้มีโรงไฟฟ้าจากภาคเอกชนจึงถูกตั้งคำถามจากสังคมมากขึ้น

เราทุกคนในฐานะประชาชนอาจจะต้องกลับมาตั้งคำถามต่อการจัดทำแผน PDP ไปจนถึงร่วมกันผลักดันให้ “ประชาชน” มีที่ทางและอำนาจในการกำหนดทิศทางพลังงานของประเทศในอนาคตหรือไม่?

รายการอ้างอิง

Thairath Money. (27 มีนาคม 2566). ก.พลังงานโต้สำรองไฟฟ้า 60%. Thairath Money. https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ/2663986 

กองบริหารสื่อองค์การ ฝ่ายสื่อสารและประชาสัมพันธ์องค์การ กฟผ. กำลังผลิตตามสัญญาของระบบ. EGAT (30 มิถุนายน 2567). https://www.egat.co.th/home/statistics-all-latest/

มรกต ลิ้มตระกูล (ผู้เรียบเรียง). (2546). โครงการศึกษาวิจัยและจัดทำประวัติการพัฒนาพลังงานของประเทศไทย ชุดที่ 4 (เล่มที่ 6) ประวัตินโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและการเปิดเสรีด้านพลังงาน. กรุงเทพฯ: บริษัท เบอร์รา จำกัด

สฤณี อาชวานันทกุล. (2 เมษายน 2567). ความไม่เป็นธรรมของค่าไฟ. Just Pow. https://justpow.co/article-unfair-electricity-bill/

  1. พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กล่าวไว้เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2524 ในพิธีเปิดวาล์วก๊าซส่งก๊าซธรรมชาติ ณ สถานีส่งก๊าซชายฝั่งระยอง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างพาดหัวข่าวด้วยวลี “โชติช่วงชัชวาล” ที่มา https://thaipublica.org/2019/05/ptt-pr-27-52562 ↩︎

บทความยอดนิยม

ในช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลเดินหน้าลดภาระค่าครองชีพของประชาชนผ่านมาตรการปรับลดค่าไฟฟ้า โดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติปรับค่าไฟฟ้าเรียกเก็บสำหรับรอบเดือนมกราคม – เมษายน 2568 อยู่ที่ 4.15 บาท/หน่วย ลดลงจากงวดก่อนหน้า 3 สตางค์/หน่วย โดยยืดการจ่ายหนี้ค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซฯ ของ กฟผ. และ ปตท. ที่สะสมอยู่จำนวน 85,226 ล้านบาท ออกไปก่อน ความพยายามที่จะลดค่าไฟฟ้าถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยเน้นย้ำที่จะช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในฐานะผู้ช่วยหาเสียของผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568  ประกาศถึงความตั้งใจที่จะลดค่าไฟฟ้าให้อยู่ที่ 3.70 บาท/หน่วยให้ได้  เพื่อตอบรับนโยบายลดค่าไฟฟ้านี้ ในวันที่ 15 มกราคม 2568 ที่ประชุม กกพ. ได้มีมติเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ให้ทบทวน และปรับปรุงต้นทุนค่าไฟฟ้าในส่วนค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ (Policy Expense) ซึ่งประกอบด้วย โครงการอุดหนุนส่วนต่างต้นทุน […]

เรากำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการเดินหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงพลังงาน รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ของภูมิภาค
พีดีพีคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับบิลค่าไฟของเรา

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

พีรยา พูลหิรัญ และธัญญาภรณ์ สุรภักดีโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) ‘การรับมือกับวิกฤติโลกเดือด’ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการรั้งอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานเท่าไหร่

เงิน Claw Back คืออะไร? มีบทบาทอย่างไรในการลดค่าไฟฟ้า รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานเท่าไหร่

ภาคประชาชนทวงแผน PDP พร้อมเรียกร้องการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต้องมีตัวแทนภาคประชาสังคมและประชาชนอยู่ในคณะกรรมการร่างแผน PDP

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก ภาคพลังงานกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net