โรงไฟฟ้าพลังน้ำกับความหมกเม็ดของ ‘พลังงานสะอาด’ ในร่างแผน PDP2024

สฤณี อาชวานันทกุล
หัวหน้าโครงการวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand)

หลังจากที่รอคอยกันมานานถึง 6 ปี ในที่สุด ในเดือนมิถุนายน 2567 “แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ” ฉบับใหม่หรือ PDP2024 ที่เป็นหนึ่งในห้าแผนของแผนพลังงานชาติหรือ National Energy Plan: NEP (ซึ่งประกอบด้วยห้าแผนคือ Gas Plan, Oil Plan, AEDP, EEP, and PDP) ก็กำลังจะคลอดออกมาบังคับใช้จริงภายในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งแผนนี้จะมีผลผูกพันผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ รวมทั้งเราๆ ท่านๆ ในฐานะประชาชน (ผู้ไม่ค่อยมีทางเลือก) 

สถานการณ์โลกและไทยเปลี่ยนไปมากมายในเวลา 6 ปี ที่กั้นกลางระหว่าง PDP ฉบับก่อนหน้านี้คือ PDP2018 กับร่างแผน PDP2024 ผู้เขียนเห็นว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดเกี่ยวกับ ‘โรงไฟฟ้าพลังน้ำ’ ซึ่งคณะผู้จัดทำแผน PDP2024 ยังนับเป็นส่วนหนึ่งของ “พลังงานหมุนเวียน” และ “พลังงานสะอาด” คือสถานการณ์ต่อไปนี้

1. อากาศแปรปรวนจากภาวะโลกรวนซึ่งยกระดับเป็นวิกฤติโลกเดือด (global boiling) ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำมีความเสี่ยงสูงกว่าเดิมมากที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าได้น้อยลง รายงานศึกษาผลกระทบจากภาวะโลกรวนต่อโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2021 ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยที่ร้อนขึ้น ธารน้ำแข็งละลายในเทือกเขาหิมาลัย (ต้นธารของแม่น้ำโขง แม่น้ำสายหลักที่ไทยรับซื้อไฟฟ้าข้ามพรมแดนจากลาว) ประกอบกับอากาศที่ผันผวนรุนแรงกว่าเดิมมาก จะส่งผลให้หน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้จริง (capacity factor) ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวและไทยลดลงถึง 7% และ 8% ตามลำดับ ระหว่างปี ค.ศ. 2060-2099 ในฉากทัศน์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และจะลดลงถึง 11% ในทั้งสองประเทศ ถ้าหากอุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้นสูงกว่า 4 องศาเซลเซียส ภายในช่วงเวลาเดียวกัน 

2. ผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าสิบแห่งในแม่น้ำโขงสายประธาน (และนับร้อยแห่งในแม่น้ำสาขา) ตั้งแต่ต้นน้ำในจีนเริ่มปรากฏเป็นรูปธรรม ผลการวิเคราะห์ในรายงาน Mekong Dam Monitor ประจำปี 2022-2023 ของสถาบันวิจัย Stimson Center พบว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำคือสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงการไหลของกระแสน้ำในฤดูแล้ง โดยข้อมูลชี้ชัดว่าเขื่อนที่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีการปล่อยน้ำในฤดูแล้งเพื่อผลิตไฟฟ้า ส่งผลให้กระแสน้ำผันผวนผิดปกติมาก ตัวอย่างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมมีอาทิ ป่าไม้ในกัมพูชาล้มตายขนานใหญ่จากระดับน้ำที่สูงผิดปกติ และน้ำโขงแล้งผิดปกติในอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งรายงานพบว่าเขื่อนในจีนส่งผลให้กระแสน้ำในฤดูน้ำหลากลดลงมากถึง 62% ในปี 2021 

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบด้วยว่า เขื่อนขนาดใหญ่ในลาวอาจส่งผลให้น้ำในแม่น้ำโขงลดลง 20% ในฤดูฝน ขณะเดียวกันก็เพิ่มน้ำในฤดูแล้งได้มากถึง 60% การทำงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบอย่างมหันต์ต่อการไหลของตะกอน ระบบนิเวศและและพันธุ์ปลาน้ำจืดเท่านั้น แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตของคนหลายสิบล้านคนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่พึ่งพาแม่น้ำโขงในการทำประมงและการเกษตร งานวิจัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นงานชิ้นหนึ่งในปี 2020 ชี้ว่าเขื่อนขนาดใหญ่ในแม่น้ำโขงส่งผลให้ตะกอนบริเวณดินดอนปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม อู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของสี่ประเทศลุ่มน้ำโขงรวมทั้งไทย ลดลงมากกว่า 74% 

ผลกระทบและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ทำให้การนิยามโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในลาวว่า ‘พลังงานสะอาด’ หรือ ‘พลังงานหมุนเวียน’ ดูเป็นการ ‘ฟอกเขียว’ (greenwash) มากขึ้น เพราะโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลายแห่งอ้างว่า ‘สะอาด’ เพียงเพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างถ่านหินหรือก๊าซมาก แต่ในความเป็นจริงเขื่อนและอ่างเก็บน้ำทั่วโลกปล่อยก๊าซมีเทน (ก๊าซเรือนกระจกที่อันตรายกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 80 เท่า แต่อยู่ในชั้นบรรยากาศไม่นานเท่า) สูงถึง 22 ล้านตันต่อปี (ปริมาณนี้เท่ากับต้องปลูกป่าเพื่อดูดซับราว 1,400 ล้านไร่) อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวางดังสรุปข้างต้น 

Image by ScatteredBitsOfLights from Pixabay

3. เศรษฐกิจไทยวัดโดยการเติบโตของผลผลิตมวลรวมประชาชาติหรือจีดีพี หดตัวลงมากกว่า 6.1% ในปี 2563 เนื่องจากผลกระทบอย่างรุนแรงของโรคระบาดโคโรนาไวรัส หรือโควิด-19 และหลังจากนั้นจนถึงกลางปี 2567 เศรษฐกิจยังเติบโตอย่างอ่อนแอ แต่ค่าไฟฟ้ายังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ ส่วนหนึ่งจากการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้าในระดับสูงในช่วงที่รัสเซียบุกยูเครนซึ่งส่งผลให้ราคา LNG ถีบตัวขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ทั้งภาคประชาชนและเอกชนเรียกร้องการปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน และเรียกร้องการมีส่วนร่วมในการจัดทำแผน PDP อย่างใกล้ชิดมากกว่าที่แล้วมาในอดีต 

4. ‘ความไม่มั่นคงทางพลังงาน’ ที่ชัดเจนจากการพึ่งพา LNG นำเข้า ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา ตลอดจนการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนขนาดใหญ่ในลาว ซึ่งอย่างหลังนี้มีแนวโน้มจะเจอความเสี่ยงจากประเด็นภูมิรัฐศาสตร์มากขึ้นด้วย เช่น อิทธิพลมหาศาลของจีนต่อลาว (จีนเป็นเจ้าของเขื่อนทุกแห่งในลุ่มน้ำโขงตอนบน) และการ ‘งัดข้อ’ ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา – ความไม่มั่นคงนี้ส่งผลให้ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ผู้จัดทำร่างแผน PDP จะไม่พยายามลดการพึ่งพาไฟฟ้าหรือเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยหันมาเน้นแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่งานวิจัยมากมาย อาทิ งานวิจัยปี 2022 ของโครงการ CASE นำเสนออย่างชัดเจนว่า ไทยมีศักยภาพการผลิตเพียงพอ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำให้พลังงานหมุนเวียนในไทยมีสัดส่วนถึง 80% ของไฟฟ้าทั้งระบบภายในปี 2050 – ปีเป้าหมายของการประกาศการบรรลุการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศส่วนใหญ่ในโลก

5. ราคาไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำโครงการใหม่ๆ ในลาวที่ไทยประกาศว่าจะรับซื้อ แพงกว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำรุ่นเก่าๆ ค่อนข้างมาก โดยจากข้อมูลประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) งวดพฤษภาคม – สิงหาคม 2567 ราคาไฟฟ้าของเขื่อนลาวที่เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบก่อนปี 2018 (ปีแรกของการใช้แผน PDP2018) อยู่ระหว่าง 1.70 บาทต่อหน่วย (น้ำเทิน 2) ถึง 2.10 บาทต่อหน่วย (น้ำงึม และเซเสด) ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบหลังปี 2018 เป็นต้นมา มีราคาระหว่าง 2.08 บาทต่อหน่วย (ไซยะบุรี) ถึง 2.82 บาทต่อหน่วย (น้ำเทิน 1) 

ราคาไฟฟ้าสูงกว่านั้นอีกสำหรับโครงการในลาวที่ยังไม่เริ่มก่อสร้างหรืออยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ทางการไทยอนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่น โครงการหลวงพระบางจะได้ค่าไฟสูงถึงประมาณ 2.84 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบในเดือนมกราคม 2573 และโครงการปากแบง 2.92 บาท/หน่วย กำหนดจ่ายไฟเข้าระบบในเดือนมกราคม 2576

น่าสังเกตว่าอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการเขื่อนลาวทั้งสองนั้น แพงกว่า อัตราค่าไฟฟ้า Feed-in-Tariff (FiT) ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ประกาศใช้สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 2.17 บาทต่อหน่วย ขนาดโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีระบบกักเก็บพลังงาน (แบตเตอรี) ยังมีอัตราค่าไฟเพียง 2.83 บาทต่อหน่วย – น่าสังเกตด้วยว่าอัตราค่าไฟแบบ FiT ดังกล่าวนี้ใช้ในการประกาศคัดเลือกผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน ซึ่งอัตรานี้ก็ดึงดูดบริษัทจำนวนมาก ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าหากรัฐเปิดให้ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนเสนอราคาประมูลอย่างเสรี อัตราค่าไฟฟ้าที่ได้จริงน่าจะต่ำกว่านี้อีกมาก 

ข้อเท็จจริงทั้ง 5 ข้อที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ เกี่ยวกับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในลาว ระหว่าง PDP2018 กับร่าง PDP2024 ดังที่ผู้เขียนกล่าวถึงข้างต้นนั้น ควรทำให้เราคาดหวังว่า ร่าง PDP2024 จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในประเทศโดยเฉพาะแสงอาทิตย์ ลม ก๊าซชีวภาพ และชีวมวล ถ้ายังให้ที่ทางกับไฟฟ้าพลังน้ำในต่างประเทศ ก็ควรเลือกต่ออายุสัญญารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเก่า เนื่องจากมีราคาถูกกว่า และผลกระทบสะสมด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมย่อมน้อยกว่าผลกระทบจากโครงการสร้างใหม่ แทนที่จะรับซื้อจากโครงการใหม่ที่แพงกว่าและสุ่มเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมสูงกว่า ไม่นับความเสี่ยงที่กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จริงจะลดลงจากภาวะโลกเดือดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  

แต่สิ่งที่ปรากฏในเอกสารร่าง PDP2024 ฉบับรับฟังความคิดเห็น กลับตรงกันข้ามกับความคาดหวัง โดยร่าง PDP2024 ระบุว่าจะมีการ “ซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ” เพิ่มอีก 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงโครงการไฟฟ้าพลังน้ำใหม่ๆ ในลาว ซึ่งตัวเลขนี้น่าจะอนุมานได้ว่าจะไม่มีการต่ออายุสัญญารับซื้อไฟฟ้าโครงการเก่าเลย ทั้งที่การต่ออายุสัญญาโครงการเก่าเป็นเรื่องที่ควรทำด้วยเหตุผลข้างต้น และข้อเท็จจริงคือที่ผ่านมา กฟผ. กับลาวก็มีการปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันอยู่เนืองๆ โดย ผู้ว่าฯ กฟผ. ประกาศในปี 2018 ด้วยซ้ำไปว่า “การปรับปรุงสัญญาเป็นปีต่อปี จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการคิดค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเก่าแห่งอื่นๆ ที่หมดอายุสัญญาเดิมแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงในโอกาสครบรอบ 50 ปีสายส่งไทยและลาว”

ยังไม่นับว่าความเสี่ยงต่างๆ จากการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ที่เพิ่มพูนขึ้นในยุคโลกเดือด ดังที่ผู้เขียนสรุปข้างต้น อาจทำให้โครงการเขื่อนขนาดใหญ่บางโครงการเกิดขึ้นไม่ได้ ขณะที่โครงการเก่าบางโครงการก็อาจถูกรื้อถอน (decommission) ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วมากมายในต่างประเทศ (เฉพาะสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีการรื้อถอนเขื่อนไปแล้วมากกว่า 2,000 แห่ง ระหว่างปี 1912 และ 2023)

ร่าง PDP2024 ควรเป็นโอกาสอันดีให้เราลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ เน้นเพิ่มแหล่งพลังงานหมุนเวียนในประเทศเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานและมุ่งหน้าสู่ Net Zero อย่างจริงจัง อีกทั้งยังลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในยุคที่แม้แต่ราคารัฐกำหนดเองของแสงอาทิตย์บวกแบตเตอรี่ยังถูกว่าเขื่อนลาว และลดความเสี่ยงจากวิกฤติโลกเดือด

กลับกลายเป็นว่าคนไทยต้องจ่ายแพงกว่า มีความมั่นคงทางพลังงานน้อยกว่า และรับความเสี่ยงจากผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน รวมถึงความเสี่ยงที่จะได้ไฟฟ้าผลิตจริงน้อยกว่าแผนเนื่องจากภาวะโลกรวน 

ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงสรุปว่า การใส่โรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวเข้ามาอีก 3,500 เมกะวัตต์ ที่ ‘งอก’ ขึ้นมาโดยไม่จำเป็นและไร้เหตุผลในร่าง PDP2024 คือการ ‘หมกเม็ด’ ที่ไม่โปร่งใสและน่าสงสัยอย่างยิ่งถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้ร่างแผน PDP2024 

กลบเกลื่อนให้เรามองไม่เห็นทางเลือกการผลิตพลังงานที่เสี่ยงน้อยกว่า ถูกกว่า และมั่นคงกว่า –  ภายใต้ถ้อยคำสวยหรู ‘พลังงานสะอาด’

บทความยอดนิยม

พาไปสำรวจทั่วโลกว่ามีประเทศไหนบ้างที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มีเท่าไร เพราะอะไร หรือยุบทิ้งไปแล้วเพราะอะไร ตลอดจนแนวคิดของไทยในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
เรากำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการเดินหน้าสู่พลังงานหมุนเวียนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงพลังงาน รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ของภูมิภาค
ย้อนดูจุดกำเนิดโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ที่ไหน-ใครเป็นเจ้าของ
ในยุคที่เรียกกันติดปากว่า “ของแพง ค่าแรงถูก” ปัญหาหนักอกของคนไทยทั้งประเทศก็คือ สินค้า และบริการที่กำลังขึ้นราคานั้นหลายชนิดไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงที่นานๆ เราจะซื้อที แต่เป็นของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ “ค่าไฟฟ้า” สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตสมัยใหม่
พีดีพีคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับบิลค่าไฟของเรา

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความวุ่นวายของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ราคาแพงไป? ยกเลิกได้ไหม? ทำไมต้องรีบเซ็นสัญญา?

ความเป็นมาของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และทำไมจึงมีถึงสองรอบ? โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565

ภาคประชาชนทวงแผน PDP พร้อมเรียกร้องการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ต้องมีตัวแทนภาคประชาสังคมและประชาชนอยู่ในคณะกรรมการร่างแผน PDP

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก ภาคพลังงานกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net