
ในการจะสร้างเขื่อนแห่งใหม่ในประเทศลาวที่จะเสนอขายไฟให้กับประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องได้ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า – Tariff MOU ก่อนจะนำไปสู่การเจรจากับผู้พัฒนาโครงการเพื่อจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Tariff Power Purchase Agreement: Tariff PPA) ซึ่งในกระบวนการนี้ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ผู้พัฒนาโครงการจะต้องจัดทำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม หรือ ESIA หากเป็นกรณีเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงสายประธาน (Mekong mainstream dam) จะต้องมีการศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดน (Transboundary EIA) ตามกฎหมายของรัฐบาลลาว แม้ตอนนี้ยังเป็นแบบสมัครใจอยู่ และต้องผ่านกระบวนการหารือล่วงหน้า (PNPCA) ตามข้อตกลงแม่น้ำโขง 2538 โดยหลังจากนั้นก่อนจะเข้าสู่กระบวนการการก่อสร้าง สิ่งสำคัญสำหรับโครงการเขื่อนที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลก็คือ การได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร ภายในระยะเวลา 1 ปี หลังจากมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) เพื่อเป็นการการันตีว่าผู้พัฒนาโครงการจะสามารถก่อสร้างเขื่อนให้สำเร็จได้
สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ หรือเขื่อน โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน
แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการเขื่อนใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่

ที่ผ่านมามีสถาบันการเงิน/ธนาคารไหนให้กู้สร้างเขื่อนในลาวบ้าง
จากข้อมูลเขื่อนในลาวที่ขายไฟให้กับไทยทั้งหมด หากพิจารณาในส่วนของเขื่อนที่ทำสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าภายใต้ MOU (ไม่รวมการซื้อแบบ Non-Firm) ว่าบริษัทที่เป็นเจ้าของเขื่อนที่ขายไฟให้กับประเทศไทยนั้น เป็นบริษัทอะไร สัญชาติใด โดยพิจารณาจากสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ ทั้งเขื่อนที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้วและยังไม่จ่ายไฟ จะพบว่าเป็นบริษัทสัญชาติไทยมากที่สุด จำนวน 4,591.65 เมกะวัตต์ คิดเป็น 63.30% รองลงมาเป็นบริษัทสัญชาติลาว จำนวน 1,663.06 เมกะวัตต์ คิดเป็น 21.13% อันดับ 3 เป็นบริษัทสัญชาติจีน 457.47 เมกะวัตต์ คิดเป็น 5.81% ฝรั่งเศส 379.2 เมกะวัตต์ คิดเป็น 4.82% เกาหลีใต้ 180.54 เมกะวัตต์ คิดเป็น 2.29% ญี่ปุ่น 121.05 เมกะวัตต์ คิดเป็น 1.54% และนอร์เวย์ 86.80 เมกะวัตต์ คิดเป็น 1.10%
จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นเขื่อนในลาว แต่กว่า 90% ของการผลิตไฟฟ้านั้นผลิตขึ้นเพื่อขายให้แก่ประเทศไทย นอกจากนั้นเกือบ 60% ของบริษัทที่ถือหุ้นในเขื่อนต่างๆ คำนวณตามกำลังการผลิตไฟฟ้า ยังเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นหลักเป็นบริษัทไทยอีกด้วย
ไม่เพียงแค่บริษัทในประเทศไทยเท่านั้นที่ไปลงทุนในการสร้างเขื่อนลาวแล้วขายไฟให้ไทย แต่โครงการสร้างเขื่อนในลาวยังได้รับเงินกู้จากธนาคารในประเทศไทยอีกด้วย โดยพบว่า
- โครงการเทินหินบุน ได้รับเงินกู้จากทั้ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารธนชาต* ธนาคารทหารไทย* และ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
- โครงการน้ำเทิน 2 ได้รับเงินกู้จากทั้ง ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารธนชาต* ธนาคารทหารไทย* และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
- โครงการน้ำงึม 2 ได้รับเงินกู้จากทั้งธนาคารกรุงไทย ธนาคารธนชาต* และธนาคารทหารไทย*
- โครงการน้ำเงี้ยบ 1 ได้รับเงินกู้จากทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
- เซเปียน-เซน้ำน้อย ได้รับเงินกู้จากทั้งธนาคารธนชาต* ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
- โครงการไซยะบุรี ได้รับเงินกู้จากทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารทิสโก้
- โครงการน้ำเทิน 1 ได้รับเงินกู้จากทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า และธนาคารทิสโก้
- โครงการหลวงพระบาง ได้รับเงินกู้จากธนาคารไทยพาณิชย์
จะเห็นได้ว่าธนาคารในประเทศไทยหลายธนาคารเป็นผู้ปล่อยเงินกู้เพื่อให้โครงการเขื่อนต่างๆ ในลาวนั้นสร้างขึ้นได้ โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย 6 โครงการ ตามมาด้วยธนาคารกรุงเทพ ปล่อยกู้ใน 5 ธนาคารกรุงไทยและธนชาติ 4 โครงการ และธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทีเอ็มบี และธนาคารกรุงศรีอยุธยา 3 โครงการ

แล้วโครงการเขื่อนปากแบง สถาบันการเงิน/ธนาคารไหนจะให้กู้ ?
โครงการเขื่อนปากแบง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576
ปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารไหน จะเป็นผู้ให้เงินกู้แก่เขื่อนปากแบง แต่หากพิจารณาการให้เงินกู้ในโครงการที่ผ่านมาแก่โครงการไฟฟ้าพลังน้ำที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นเจ้าของโครงการหรือมีหุ้นในโครงการนั้นๆ ซึ่งบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดเองก็มีหุ้นในโครงการเขื่อนปากแบง 49% จะพบว่าที่ผ่านมาธนาคารที่มักจะให้กู้เงินแก่โครงการของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในโครงการเขื่อนหลวงพระบาง ในขณะที่โครงการเขื่อนปากลาย ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง Sinohydro (Hong Kong) Holding Limited (SHK) ถือหุ้น 60% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ถือหุ้น 40% โดยในปี 2018 มีข่าวว่าได้เงินกู้ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก China Eximbank แต่แต่ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2568 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ซื้อหุ้นอีก 60% จนเป็น 100% ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยว่าได้เงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไหน
ถ้าสถาบันการเงิน/ธนาคาร ให้กู้ในโครงการเขื่อนแม่น้ำโขง จะผิดหลักการอะไรไหม?
การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะให้เงินกู้ในโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม หนึ่งในหลักการการประเมินว่าจะให้เงินกู้ หรือไม่ให้เงินกู้ก็คือ หลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles: EPs) ซึ่งเป็นกรอบบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน ที่เป็นแนวทางระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมสำหรับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ออกโดยสมาคมอีเควเตอร์ (The Equator Principles Association: EP) สถาบันการเงินที่ลงนามต้องนำหลักการทั้ง 10 ประการ บูรณาการเข้ากับกระบวนการกลั่นกรองสินเชื่อของธนาคาร จากการเผยแพร่อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อ 4 มิถุนายน 2546 ด้วยกรอบที่จัดทำโดยบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) มีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง จนถึงปี 2563 เป็นหลักการอีเควเตอร์ 4 ซึ่งจนถึงปี 2566 มีสถาบันการเงินเป็นสมาชิก 138 แห่ง 38 ประเทศทั่วโลก
หลักการอีเควเตอร์ 10 ประการ ประกอบด้วย
- ตรวจสอบและแยกประเภท (Review and Categorisation) การจัดประเภทโครงการว่าเป็นความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำขึ้นอยู่กับระดับผลกระทบและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งอ้างอิงจากแนวปฏิบัติของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)
- การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Assessment) โครงการต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความเสี่ยงจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย
- ความสอดคล้องของมาตรฐานสังคมและสิ่งแวดล้อม (Applicable Environmental and Social Standards) ในการประเมินจะเป็นการพิจารณาว่า ระดับเบื้องต้นที่สุดสอดคล้องกับกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือสังคมในประเทศหรือไม่
- แผนปฏิบัติการตามหลักอีเควเตอร์ และระบบจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Management System and Equator Principles Action Plan) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีแผนปฏิบัติการในการจัดการกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Engagement) โครงการที่ขอกู้จะต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีประสิทธิภาพเป็น กระบวนการที่ต่อเนื่อง มีโครงสร้าง และเหมาะสมทางวัฒนธรรม โดยต้องมีส่วนร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ (Affected Communities) พนักงาน (Workers) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ (Other Stakeholders) ที่เกี่ยวข้อง โครงการที่ขอกู้จะต้องดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมโดยมีข้อมูล (Informed Consultation and Participation) กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยกระบวนการนี้ต้องปราศจากการชักจูงจากภายนอก การแทรกแซง การข่มขู่ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และผลกระทบควรมีขึ้นโดยเร็วก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
- กลไกเยียวยา (Grievance Mechanism) โครงการที่ขอกู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางและสูง จะต้องจัดตั้งกลไกเยียวยาที่เหมาะสมสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
- การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ (Independent Review) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีองค์กรอิสระที่มีเชี่ยวชาญด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นผู้ประเมินผลกระทบของโครงการให้สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
- สัญญาหรือข้อตกลง (Covenants) โครงการที่ขอกู้จะต้องให้คำมั่นในเอกสารการเงินว่าจะปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของประเทศ และจะต้องจัดทำรายงานต่อสาธารณะเป็นประจำ หากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ สถาบันการเงินมีสามารถยกเลิกสัญญาได้
- ติดตามและรายงานโดยองค์กรอิสระ (Independent Monitoring and Reporting) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดให้มีการติดตามและรายงานโดยที่ปรึกษาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอิสระ เพื่อตรวจสอบว่าตลอดระยะเวลาของโครงการเป็นไปตามหลักการอีเควเตอร์หรือไม่
- การรายงานและความโปร่งใส (Reporting and Transparency) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดทำและเผยแพร่รายงานที่เข้าถึงได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งบทสรุปความเสี่ยงและผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
จนถึงปี 2568 สถาบันการเงินของไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์แห่งแรกและแห่งเดียวคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ผลการดำเนินงานในปี 2567 ธนาคารระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 จนถึง 2567 ได้พิจารณาสินเชื่อตามหลักอีเควเตอร์แล้ว 89 โครงการ
ส่วนธนาคารอื่นๆ ที่ระบุว่า ตนเองนำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการขอสินเชื่อของโครงการ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของอีเควเตอร์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพระบุว่า “ธนาคารให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐานได้นำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อโครงการ” โดยมีการจัดประเภทคำขอสินเชื่อโครงการตามระดับความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สูง ปานกลาง และต่ำ ตามหลักการอีเควเตอร์ หากจัดอยู่ในกลุ่มสูงและปานกลาง จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมทำการทบทวนการประเมินความเสี่ยง ส่วนธนาคารกสิกรไทย มีแนวปฏิบัติในการพิจารณาสินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ ที่ระบุว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามหลักการอีเควเตอร์ และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ
โดยในประเด็นเรื่องสถาบันการเงิน/ธนาคาร กับหลักการอีเควเตอร์นั้นแนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึงธนาคารไทย เรื่อง ข้อกังวลต่อโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng) ในการปฏิบัติตามหลักการ Equator Principles เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568
โดยมีข้อกังวลเกี่ยวกับข้อบกพร่องของโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อเทียบกับหลักการอีเควเตอร์ ทั้งประเด็นเรื่อง การประเมินผลกระทบสะสม (CIA) ที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเขื่อนต้นน้ำในประเทศจีน ขาดผลกระทบที่มองไม่เห็นต่อแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ไม่มีการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงความกังวลเกี่ยวกับสารพิษจากเหมืองแร่หายากในเมียนมากำลังทวีความรุนแรงขึ้น
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า นอกจากธนาคารไทยพาณิชย์ที่รับหลักการอีเควเตอร์ไปแล้ว ในส่วนธนาคารกสิกรไทย ที่มีแนวปฏิบัติว่าธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามหลักการอีเควเตอร์ออกมาอย่างชัดเจน ก็เป็นอีกหนึ่งธนาคารที่จะต้องจับตาในโครงการเขื่อนที่กำลังจะก่อสร้าง ทั้งปากแบง เซกอง 4A4B หรือมีแนวโน้มว่าจะสร้างอย่างสานะคาม หรือพูงอย
มาตรการ Thailand Taxonomy สามารถใช้กับธนาคารได้แค่ไหน
ธปท. ออกมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Taxonomy) ในปี 2566 ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตามระดับการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเป็นหลักการเชิงสมัครใจสำหรับนักลงทุนหรือบริษัทจัดสรรเงินทุนนำไปใช้อ้างอิงด้วยกรอบที่ชัดเจน การประกาศใช้ระยะที่ 1 เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 เริ่มจากภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ และระยะที่ 2 ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ครอบคลุมภาคส่วนอื่น ๆ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการของเสีย
ใน Thailand Taxonomy แบ่งการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
สีเขียว สีเหลือง และสีแดง
- สีเขียว คือ กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใกล้เคียงศูนย์ (Near zero activities) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม
- สีเหลือง คือ กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างมาก แต่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างมีนัยสำคัญภายใต้กรอบเวลาสิ้นสุดในปี 2040 หรือ สนับสนุนกิจกรรมสีเขียวอื่นๆ แม้ตัวกิจกรรมเองจะไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ตาม ทั้งนี้กิจกรรมสีเหลืองอาจมีเกณฑ์การพิจารณาที่ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ เช่น ในภาคพลังงาน จะต้องดำเนินการเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนให้ไว เพื่อให้ถือว่าเป็นกิจกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านได้ จึงจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านได้
- สีแดง คือ กิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และไม่สามารถปรับให้สอดคล้องได้ ไม่ว่าจะเวลาใด กิจกรรมสีแดงควรจะต้องทยอยยุติลง (phased out) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน) หากประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส
นอกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว กิจกรรมที่สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy จะต้องผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามหลักการ ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสําคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) และการคํานึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) องค์กรจะต้องผ่านการประเมินการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวของของไทย หรือกฎหมายของประเทศที่กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น
การดําเนินงานตาม Taxonomy จะต้องมีส่วนในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1 ด้าน จากทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Change Mitigation) 2) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) 3) การใช้น้ำอย่างยั่งยืนและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ 4) การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 5) การป้องกันและควบคุมมลพิษ และ 6) การรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมบูรณ์
ทั้งนี้กิจกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้านอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) นอกจากนี้ กิจกรรมต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) ในมิติต่างๆ ตามมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน ตามมาตรฐานสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และมาตรฐานการดําเนินงานของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)
ในภาคพลังงาน Taxonomy กำหนดเงื่อนไขและตัวชี้วัดสําหรับการประเมินรายกิจกรรมในภาคพลังงานไว้ว่า
- กิจกรรมการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทั้งหมดจัดเป็นกิจกรรมสีเขียว
- พลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังนํ้าที่ดําเนินการก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 จะจัดเป็นกิจกรรมสีเขียวหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ความหนาแน่นของกําลังไฟฟ้ามากกว่า 5W/m2 หรือความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 100 gCO2eq/ kWh ตลอดวัฎจักรชีวิต ส่วนโครงการใหม่จะต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงระบบนิเวศเพื่อลดผลกระทบในเชิงลบต่อนํ้าและแหล่งที่อยูอาศัยที่ได้รับความคุ้มครอง (protected habitats) ของสัตว์และพืชซึ่งต้องพึ่งพานํ้าโดยตรง มีมาตรการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการอพยพของปลาที่ปลายนํ้าและต้นนํ้า มีมาตรการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ จะต้องมีการจัดทําการประเมินผลกระทบ (impact assessment) เพื่อพิจารณาวาการออกแบบและสถานที่ตั้ง และมาตรการลดผลกระทบต่าง ๆ
- ก๊าซธรรมชาติ โครงการได้รับใบอนุญาตก่อสร้างหลังวันที่ 31 ธ.ค. 2566 จัดเป็นกิจกรรมสีแดง
- โรงไฟฟ้าที่ผลิตความร้อนและไฟฟ้าร่วมกันโดยอาศัยแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิลและอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล) จัดเป็นกิจกรรมสีแดง
กิจกรรมที่จัดว่าเป็นสีแดงคือ การผลิตไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน นํ้ามัน ก๊าซ และอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงดังกล่าว รวมถึงไฮโดรเจนจากฟอสซิล แต่ไม่รวมถึงผลพลอยได้ เช่น ความร้อนทิ้ง ถือว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จากข้อมูล แม้ Thailand Taxonomy จะเป็นเพียงแนวปฏิบัติ โดยไม่มีสภาพบังคับ แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของโครงการเขื่อนปากแบงที่ ปัจจุบันยังไม่ได้ก่อสร้าง ก็อาจจะไม่ถูกจัดว่าเป็นกิจกรรมสีเขียวแล้ว เพราะใน Thailand Taxonomy กำหนดไว้ว่า โรงไฟฟ้าพลังนํ้าที่ดําเนินการก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถุึงจะจัดเป็นกิจกรรมสีเขียว นอกจากนี้หากพิจารณาหลักการในการดําเนินงานตาม Taxonomy ทั้ง 6 ด้าน ก็จะพบว่า ในส่วนของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้โครงการไฟฟ้าพลังน้ำจะไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง แต่การสร้างเขื่อน ก็ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีการทับถมกันของซากพืชซากสัตว์จำนวนมากนั้น ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซมีเทนจากอ่างเก็บน้ำ ส่งผลให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และการปล่อยก๊าซมีเทนจากเขื่อนผลิตไฟฟ้าก็คิดเป็นสัดส่วน 5.2% ของการปล่อยก๊าซมีเทนโดยมนุษย์อีกด้วย นอกจากนี้การสร้างเขื่อนยังเป็นการทำลายระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย
การให้กู้เงินในโครงการเขื่อนปากแบงถือว่าเป็นการละเมิดนโยบาย ESG หรือไม่?
ตั้งแต่ สิงหาคม 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารพาณิชย์ 15 แห่ง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือธนาคารทุกแห่งมีนโยบายไม่สนับสนุนสินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ธนาคารไทยพาณิชย์ มีแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาให้สินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะสำหรับโรงไฟฟ้าในปี 2561 ว่า ธนาคารจะไม่กิจกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงถ่านหิน ส่วนการสร้างเขื่อนถูกระบุว่า มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สำคัญ ต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบดังนี้ มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อพันธ์ุพืชและสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำ มีการจัดเตรียมแผนการโยกย้ายถิ่นฐานสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และมีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและนำเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ธนาคารจะให้การสนับสนุน โครงการที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เป็นไปตามแนวปฏิบัติดังนี้ มลพิษทางอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ โดยต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้วยการใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์ในการประเมินผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ การนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุด (Best Available Control Technology: BACT) มาใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและแนวทางการแก้ปัญหา
ธนาคารกสิกรไทย ระบุประเภทเครดิตที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามแนวทาง Equator Principles และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยที่ไม่มีเทคโนโลยีเพื่อลดค่าเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญร่วมด้วย
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในนโยบายเพื่อการให้สินเชื่ออย่างยั่งยืนระบุว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโรงไฟฟ้าชีวมวล จัดอยู่ในกลุ่มธุรกรรมพึงระมัดระวัง (High Caution Transaction) ที่การให้สินเชื่อต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และ ควรพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้าที่มีมาตรการด้าน ESG ที่เหมาะสม โดยจะอนุมัติสินเชื่อให้ธุรกรรมที่มีการลดทอนความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับที่ธนาคารยอมรับได้ ธนาคารจะประเมินการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของลูกค้า ในกรณี Project Finance ต้องผ่านการตรวจสอบ (due diligence) โดยบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระจากธุรกรรม
ธนาคารทหารไทย มีนโยบายเฝ้าระวังผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากกิจกรรมหรือธุรกิจเฉพาะว่า ในการผลิตไฟฟ้า ลูกค้าต้องดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในระดับท้องถิ่น และยังส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้มาตรฐานและกรอบการดำเนินงานที่ยอมรับได้ในระดับท้องถิ่น/สากล (เช่น the International Hydropower Association, World Commission on Dams เป็นต้น ลูกค้าต้องแสดงหลักฐานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่าให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ว่าจะมีการพิจารณาความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการอย่างรอบด้าน แต่ไม่ระบุมาตรการเฉพาะเจาะจง
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ มีธนาคารธนาคารกสิกรไทย ที่ประกาศไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามแนวทาง Equator Principles และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่แม้ไม่ได้ประกาศไม่สนัลบสนุนการให้สินเชื่อ แต่โรงไฟฟ้าพลังน้ำก็จัดอยู่ในกลุ่มธุรกรรมพึงระมัดระวัง
นอกจากนี้ แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย ยังได้ออกจดหมายเปิดผนึกเรื่อง ความเสี่ยง ESG ของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng) กับการพิจารณาสินเชื่อของธนาคาร เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 โดยกล่าวล่า ประชาชนและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น อำเภอเชียงของ และอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ยังไม่ได้รับทราบข้อมูลและความคืบหน้าเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบข้าม พรมแดน (Transboundary Impact Assessment) ของบริษัทผู้พัฒนาโครงการแต่อย่างใด รวมไปถึงประเด็นข้อมูลในเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะของบริษัทผู้พัฒนาโครงการ ไม่ สอดคล้องกับข้อกำหนดของหลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles) ข้อ 2, 3, 4-5, 6 และ 10 ซึ่งให้ความสำคัญกับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม การบังคับใช้มาตรฐานด้าน สิ่งแวดล้อมและสังคม ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมและแผนการดำเนินงานตามหลักอีเควเตอร์ การปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย กลไกการรับเรื่องร้องเรียน และการรายงานและความโปร่งใส
นอกจากนี้ยังพบว่า สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสภาผู้แทนราษฎร อยู่ระหว่าง กระบวนการตรวจสอบประเด็นร้องเรียนเรื่อง การละเมิดสิทธิมนุษยชนของการดำเนินโครงการ เขื่อนปากแบงผลกระทบข้ามพรมแดนของเขื่อนแม่น้ำโขง และการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โครงการของหน่วยงานรัฐต่อผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง จึงเสนอให้ธนาคารควรพิจารณาระงับหรือชะลอการสนับสนุนทางการเงินแก่ โครงการดังกล่าวเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการเปิดเผยรายงานการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนที่มีความ โปร่งใส ผลการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐสิ้นสุดลง