รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานเท่าไหร่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 ไม่ให้เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย โดยมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หาวิธีดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. ได้มีมติปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับรอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เปลี่ยนแปลงจากราคาที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย แม้การปรับลดค่าไฟฟ้ากว่า 17 สตางค์ต่อหน่วยในครั้งนี้จะเป็นไปเพื่อช่วยลดภาระให้ประชาชน แต่กลไกที่ใช้กลับไม่ได้มาจากการที่ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงลดลง หรือมีการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมแต่อย่างใด แต่มาจากการนำ ‘เงิน Claw Back’ ประมาณ 12,200 ล้านบาท มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำตามเป้าหมายของรัฐบาล

ล่าสุด เงิน Claw Back ยังคงถูกนำมาใช้อีกครั้งในการปรับลดค่าไฟรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2568 การพึ่งพากลไกนี้อย่างต่อเนื่องได้เผยให้เห็นถึงความขัดแย้งเชิงนโยบายที่น่ากังวล และนำมาสู่คำถามสำคัญหลายประการว่ากลไกนี้คืออะไร มีที่มาอย่างไร เหตุใดจึงถูกนำมาใช้ในช่วงเวลานี้? เนื่องด้วยเงินก้อนนี้เป็นเงินที่มีจำกัด ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลดค่าไฟฟ้าด้วยวิธีการนี้จึงอาจไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน คำถามที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลจะสามารถใช้เงินก้อนนี้เพื่อยื้อเวลาการปรับค่าไฟฟ้าได้อีกนานเพียงใด? ก่อนที่ประชาชนจะต้องกลับมาเผชิญกับต้นทุนค่าไฟที่แท้จริง และท้ายที่สุดแล้วทางออกที่ยั่งยืนในการบริหารจัดการราคาพลังงานของประเทศคืออะไร?

เงิน Claw Back คืออะไร? มีบทบาทอย่างไรในการลดค่าไฟฟ้า

Claw Back คือ เงินที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกินของ 3 การไฟฟ้า ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จากการลงทุนไม่เป็นตามแผน กล่าวคือ ในการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า กกพ. จะคำนวณรายได้ของ 3 การไฟฟ้า โดยรวมต้นทุนการดำเนินงาน ต้นทุนโครงการลงทุนตามแผนที่ 3 การไฟฟ้าวางไว้ในอนาคต รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนเข้าไปด้วยแล้ว เมื่อแผนการลงทุนนี้ถูกอนุมัติ ต้นทุนส่วนนี้ก็จะถูกนำไปรวมอยู่ในค่าไฟฐานของบิลค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่าย แต่หากโครงการลงทุนที่ได้แจ้งไว้ในแผนถูกชะลอออกไปหรือไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เงินที่ประชาชนจ่ายในค่าไฟเพื่อให้การไฟฟ้าไปลงทุนนั้นจะถือเป็น ‘ผลประโยชน์ส่วนเกิน’ ของการไฟฟ้า

ดังนั้น กกพ. จึงมีอำนาจในการเรียกเงินส่วนเกินนี้คืนพร้อมอัตราดอกเบี้ย โดย กกพ. มักจะนำเงินส่วนนี้มาใช้ในการพยุงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เพื่อดูแลค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือมีผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน

ในการปรับค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ กฟผ. จะจัดทำรายงานการคำนวณค่า Ft มานำเสนอ กกพ. ซึ่งในหลายครั้ง ค่า Ft ที่คำนวณตามต้นทุนที่แท้จริงนั้นสูงมาก จนอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้ามีความผันผวนสูง และมีภาระหนี้ที่คงค้างจำนวนมหาศาลจากการที่ภาครัฐใช้มาตรการพยุงค่าไฟฟ้าในอดีต ซึ่งจำเป็นต้องทยอยชำระคืนในภายหลัง ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการแทรกแซงเพื่อตรึงราคาค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยเงิน Claw Back เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ภาครัฐใช้เพื่อจัดการกับส่วนต่างของต้นทุนค่าไฟที่ไม่ได้ถูกเรียกเก็บจากประชาชน อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ หากต้นทุนค่าไฟที่ควรปรับขึ้นจริงอยู่ที่ 5 บาท/หน่วย แต่รัฐบาลต้องการตรึงราคาค่าไฟไว้ที่ 4 บาท/หน่วย เงิน Claw Back จะถูกนำมาใช้เพื่อชดเชยส่วนต่าง 1 บาทที่ขาดหายไป เพื่อทำให้ราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนจ่ายไม่สูงเกินไปตามต้นทุนที่แท้จริง 

การนำเงิน Claw Back มาใช้ในการปรับลดค่าไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ในอดีต กกพ. เคยนำแนวทางนี้มาใช้แล้วในช่วงที่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เช่น การปรับค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2563 กกพ. มีมติให้คงค่า Ft ไว้ที่ -11.60 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อตรึงราคาค่าไฟฟ้าไว้ที่ 3.64 บาท/หน่วย ทั้งที่ต้นทุนที่แท้จริงควรจะอยู่ที่ 3.72 บาท/หน่วย ส่งผลให้เกิดส่วนต่างของค่า Ft ที่ไม่ได้ปรับขึ้น 8.03 สตางค์/หน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 5,120 ล้านบาท กกพ. จึงอนุมัติให้นำเงิน Claw Back จำนวน 5,121 ล้านบาทมาชดเชยในส่วนนี้

ล่าสุด กกพ. ได้ตรวจสอบและรับรองจำนวนเงิน Claw Back ที่มีอยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท และได้นำเงินก้อนนี้มาใช้ลดค่าไฟฟ้าอีกครั้งในรอบครึ่งหลังของปี 2568 แบ่งเป็น

  • รอบเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม ใช้เงินจำนวน 12,200 ล้านบาท ลดค่าไฟ 17 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจาก 4.15 บาทต่อหน่วย เป็น 3.98 บาทต่อหน่วย 
  • รอบเดือนกันยายน-ธันวาคม ใช้เงินจำนวน 2,640 ล้านบาท ลดค่าไฟ 4 สตางค์/หน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยลดลงจาก 3.98 บาท/หน่วย เป็น 3.94 บาทต่อหน่วย

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้ชี้แจงถึงความจำเป็นในการใช้เงิน Claw Back ในครั้งนี้ว่าเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้ว่าเงินก้อนนี้จะถูกสำรองไว้สำหรับใช้ในสถานการณ์วิกฤตเท่านั้น แต่บอร์ด กกพ. เห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันมีความย่ำแย่เพียงพอที่จะต้องนำเงินส่วนนี้มาใช้

อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่าการใช้เงิน Claw Back ในครั้งนี้เป็นการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายค่าไฟฟ้าตามมติของรัฐบาลที่อยากให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.99 บาท/หน่วย ไม่ใช่การตัดสินใจที่อิงจากสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเป็น ‘วิกฤตพลังงาน’ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การพิจารณาค่าไฟรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม กกพ. สามารถเลือกที่จะตรึงค่าไฟไว้ที่ 3.98 บาทต่อหน่วยต่อไปได้ โดยให้ กฟผ. แบกรับภาระหนี้สินสะสมกว่า 59,000 ล้านบาท และหนี้ค่า AFgas อีก 15,084 ล้านบาทต่อไป แต่ กกพ. กลับตัดสินใจใช้เงิน Claw Back จำนวน 2,640 ล้านบาท เพื่อลดค่าไฟเพิ่มอีก ซึ่งเป็นการเลือกใช้เงินสำรองที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อตอบสนองนโยบายการลดค่าไฟของรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญซึ่งเป็นต้นเหตุของราคาค่าไฟฟ้าที่สูงอย่างไม่เป็นธรรม เช่น สัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่สร้างผลกระทบต่อประชาชน และต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สามารถปรับลดได้ในระยะยาวกลับไม่ได้รับการแก้ไขเลย

รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานแค่ไหน?

ในการปรับลดค่าไฟฟ้ารอบล่าสุด คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ระบุถึงสถานะของเงิน Claw Back ว่าหลังจากใช้เงิน 2,640 ล้านบาท เพื่อลดค่าไฟฟ้ารอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2568 แล้ว ยังคงเหลือเงินอีกประมาณ 5,287 ล้านบาท ซึ่งจะสำรองไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพอัตราค่าไฟฟ้าในรอบถัดไป จากการคำนวณของ JustPow พบว่าด้วยจำนวนเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 5,287 ล้านบาท หาก กกพ. ยังคงใช้วิธีเดิม คือนำเงินมาลดค่าไฟฟ้าจำนวนเท่ากับรอบล่าสุด เงินก้อนนี้จะสามารถใช้ได้อีกประมาณ 2 รอบค่าไฟฟ้า แบ่งเป็นรอบละ 2,643 ล้านบาท โดยจะสามารถลดค่าไฟได้รอบละประมาณ 4 สตางค์ต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม หาก กกพ. จะใช้เงิน Claw Back เพื่อลดค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบที่น่ากังวล เนื่องจากเงินก้อนนี้เป็นเงินที่มีจำกัดและไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากถูกนำมาใช้จนหมด กกพ. จะไม่มีเงินสำรองเหลือเพื่อพยุงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (ค่า Ft) ในกรณีที่ราคาเชื้อเพลิงในอนาคตปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง หรือเกิดวิกฤตอื่นที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องเผชิญกับราคาค่าไฟฟ้าที่แท้จริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด

บทเรียนราคาแพงจากมาตรการแทรกแซงค่าไฟในอดีต 

ในช่วงกลางปี 2565 ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต้นเหตุมาจากราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยพุ่งทะลุ 4 บาทเป็นครั้งแรก และปรับขึ้นสูงสุดถึง 4.72 บาทต่อหน่วยในเวลาต่อมา แม้ตัวเลขที่ปรากฏจะดูสูง แต่ก็ยังไม่ใช่อัตราค่าไฟที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงทั้งหมด เพราะหากไม่มีมาตรการแทรกแซงจากภาครัฐ ค่าไฟฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวอาจต้องปรับขึ้นสูงถึง 7.32 บาทต่อหน่วย สะท้อนให้เห็นว่าการจัดการต้นทุนพลังงานของประเทศยังคงมีปัญหาในเชิงโครงสร้าง

ที่ผ่านมาภาครัฐได้ใช้หลากหลายมาตรการเพื่อชะลอการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าไว้ เช่น การทยอยปรับขึ้นค่า Ft และการให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจแบกรับภาระต้นทุนส่วนต่างไว้ก่อน เพื่อช่วยพยุงค่าไฟฟ้าให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติดังกล่าวไปได้ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาภาระของประชาชนได้ในระยะสั้น แต่ก็ได้สร้างปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญและทิ้งภาระทางการเงินไว้มากมาย ซึ่งเป็นต้นตอของวงจรหนี้สินที่ไม่จบสิ้นที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น หนี้สะสมของ กฟผ. ที่มีอยู่ประมาณ 59,000 ล้านบาท และหนี้ค่า AF Gas* ที่ กฟผ. และ ปตท. แบกไว้อีกประมาณ 15,084 ล้านบาท

*หมายเหตุ ค่า AF Gas มีที่มาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่กำหนดให้มีการตรึงราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) สำหรับภาคไฟฟ้าไม่ให้เกิน 304.79 บาท/ล้านบีทียู เพื่อรักษาค่าไฟฟ้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 ให้คงอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่กำหนดไว้ จึงเกิดส่วนต่างที่ไม่ได้เรียกเก็บเฉพาะในภาคไฟฟ้า เป็นเงินสะสมประมาณ 15,084 ล้านบาท โดยให้ ปตท. และ กฟผ. ในฐานะผู้ประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ แบกรับไว้แทนประชาชนก่อน ซึ่ง กกพ. จะต้องพิจารณาเรียกคืนมูลค่าส่วนต่างดังกล่าวผ่านการคำนวณค่า Ft ในรอบถัดไป

ภาระหนี้สะสมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของหน่วยงานที่แบกรับหนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้การคำนวณค่าไฟฟ้าในรอบปัจจุบันและอนาคตมีความซับซ้อน เนื่องจากการพยุงค่าไฟฟ้าด้วยกลไกที่ผ่านมาเป็นเพียงการ ‘ย้ายหนี้’ จากประชาชนไปให้หน่วยงานอื่นแบกรับไว้ก่อน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วหนี้ก้อนนี้ก็จะวนกลับมาเป็นภาระของประชาชนในรูปแบบค่าไฟฟ้าอยู่ดี 

การตัดสินใจใช้เงิน Claw Back ในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะหากเงินก้อนนี้หมดไปอาจทำให้ กกพ. ไม่เหลือเครื่องมือในการช่วยพยุงค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนในอนาคต หากเกิดวิกฤตการณ์ด้านเชื้อเพลิงขึ้นอีกครั้ง การแก้ปัญหาจึงควรพุ่งเป้าไปที่การปรับปรุงโครงสร้างพลังงานของประเทศให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การปรับแต่งตัวเลขค่าไฟที่ปลายทาง

แนวทางและมาตรการที่ยั่งยืนในระยะยาว 

การใช้เงิน Claw Back เพื่อพยุงค่าไฟฟ้าเป็นเพียงกลไกช่วยเหลือทางการเงินที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่สามารถทำได้ตลอดไป เมื่อเงินก้อนนี้หมดลงประชาชนก็ต้องกลับมาเผชิญกับต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แท้จริงอีกครั้ง หนทางที่ยั่งยืนในระยะยาวจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างในระบบพลังงานของประเทศ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนค่าไฟ และการลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อลดการพึ่งพากลไกชั่วคราวที่ไม่มั่นคง โดยมีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้

  • การแก้ไขปัญหาต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยยังคงพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และมีการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ (LNG) ในสัดส่วนที่สูง ทำให้เกิดความเสี่ยงจากราคาในตลาดโลกที่ผันผวน ขณะเดียวกัน ร่างแผน PDP2024 ยังคงวางสัดส่วนให้ภายในปี 2580 มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในระบบถึงร้อยละ 41 บ่งชี้ว่าประเทศไทยจะยังคงต้องนำเข้า LNG อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราค่าไฟฟ้าของประชาชนหากเกิดวิกฤตพลังงานขึ้นอีกครั้ง การแก้ไขจึงต้องพุ่งเป้าไปที่การลดการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติในระยะยาว
  • การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและการลงทุนในเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน ข้อมูลจากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF ชี้ว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนคือแนวทางที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในราคาที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ โดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจำนวนมากแห่งใหม่ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยแล้ว และการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับระบบกักเก็บพลังงาน จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศได้
  • การปรับปรุงโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรม ควรมีการทบทวนและแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การรับซื้อไฟฟ้าโดยให้เงินอุดหนุนเพิ่ม (Adder, FiT) ที่ให้เงินอุดหนุนในอัตราที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนจากเทคโนโลยีใหม่ๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การรับซื้อไฟฟ้าในอัตราที่ไม่สะท้อนต้นทุนปัจจุบันและอนาคตนี้ อาจสร้างภาระทางการเงินที่ไม่จำเป็นให้กับภาครัฐและประชาชน อีกทั้งแก้ไขสัญญาที่มีค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ที่ต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชนเต็มจำนวนแม้ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังตามสัญญา การจ่ายเงินในส่วนนี้ทำให้เกิดภาระต้นทุนคงที่ที่สูง และไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่แท้จริงของประเทศ นอกจากนี้การที่ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกินอยู่แล้วในปัจจุบัน การเพิ่มโรงไฟฟ้าใหม่เข้าสู่ระบบจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพราะจะยิ่งเพิ่มภาระค่าความพร้อมจ่ายและผลักต้นทุนค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้น 

การพึ่งพาเงิน Claw Back หรือเงินอุดหนุนอื่นๆ เพื่อลดค่าไฟฟ้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาค่าไฟแพงได้ เพราะเงินก้อนนี้มีอยู่อย่างจำกัดและจะหมดลงในท้ายที่สุด การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจึงต้องมุ่งไปที่การปรับปรุงโครงสร้างและต้นทุนค่าไฟฟ้าตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศในอนาคต ทำให้ค่าไฟฟ้าสะท้อนความต้นทุนที่เป็นธรรมที่ประชาชนสามารถจ่ายได้โดยไม่ต้องอาศัยการแทรกแซงจากรัฐบาล หรือต้องพึ่งพากลไกทางการเงินชั่วคราวใดๆ เพื่อลดค่าไฟฟ้าอย่างฉาบฉวยอีกต่อไป

บทความยอดนิยม

พีรยา พูลหิรัญ และธัญญาภรณ์ สุรภักดีโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) ‘การรับมือกับวิกฤติโลกเดือด’ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการรั้งอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

พีดีพีคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับบิลค่าไฟของเรา

แผนพลังงานชาติ (NEP) คืออะไร  ทำไมเพิ่งจะมี ?   แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) หรือ

สำรวจความเป็นมาของโครงการฯ พร้อมดูว่ากลุ่มบริษัทไหนได้โควต้าบ้าง

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

พีระพันธุ์เรียกร้องเปิดสัญญาซื้อไฟจากเอกชน และปรับสัญญาเพื่อลดภาระค่าไฟของประชาชน

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นแขกรับเชิญในรายการ ‘Behind the Bill – ผลประโยชน์ของพลังงานไฟฟ้า’ ผ่านการไลฟ์สดโดยเฟซบุ๊กเพจ ‘โอกาส Chance’ เมื่อวันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยเปิดรายละเอียดโครงสร้างการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ทำให้ประชาชนต้องแบกรับต้นทุน และแนวทางในการทำให้ค่าไฟของคนไทยถูกลง  โดยในช่วงแรกเป็นการให้ภาพและข้อมูลพื้นฐานในการปรับค่าไฟ พร้อมชี้ให้เห็นว่าแม้ค่าไฟจะลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าค่าไฟแพง เนื่องจากต้องนำมาเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ “หากดูจากตัวเลขอย่างเดียว ค่าไฟของเราที่ 4.15 บาทในช่วงต้นปี 2567 อาจดูไม่แพงเมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น เวียดนาม (3.16 บาท), ฟิลิปปินส์ (5.3 บาท), อินโดนีเซีย (3.16 บาท), มาเลเซีย (1.87 บาทเพราะรัฐบาลช่วยออกเหมือนค่าน้ำมัน), สิงคโปร์ (7.22 บาท), เกาหลีใต้ (4.48 บาท), และสหรัฐอเมริกา (6.12 บาท) แต่ความเป็นจริงถ้าเทียบกับค่าครองชีพและภาวะเศรษฐกิจในประเทศแล้ว ค่าไฟของเราถือว่าแพง เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดว่า […]

5 มิถุนายน วันสิ่งแวดล้อมโลก ภาคพลังงานกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net

รายงานจาก BloombergNEF ชี้ “ต้นทุนจากแสงอาทิตย์ของไทยต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่”

รายงานชี้ ปี 2025 ต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในไทยจะถูกกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหินอย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยเพียง 33-75 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh

[ชุดข้อมูล] 17 ปี การปรับค่าไฟฟ้ากับหนี้ กฟผ.

ข้อมูลประกอบด้วยประมาณการค่า Ft สำหรับใช้เรียกเก็บในบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2551 - พฤษภาคม 2568 จากสูตรการคำนวณของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), ค่า Ft ที่ใช้เรียกเก็บจริงตามเอกสารเผยแพร่ ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), หนี้ กฟผ. จากการรับภาระส่วนต่างของค่า Ft