ความวุ่นวายของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ราคาแพงไป? ยกเลิกได้ไหม? ทำไมต้องรีบเซ็นสัญญา?

ความเป็นมาของโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และทำไมจึงมีถึงสองรอบ?

โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565 – 2573 เป็นผลพวงมาจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพื่อเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดของไทยให้มากขึ้น  โดยโครงการได้ดำเนินการไปแล้ว 2 รอบ ได้แก่ โครงการรอบแรก เปิดให้รับซื้อไปเมื่อช่วงปี 2565 เป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้ารวม 5,203 เมกะวัตต์ มีผู้ผ่านคัดเลือก 175 โครงการ ปริมาณไฟฟ้ารับซื้อจริง 4,852.26 เมกะวัตต์ ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อีก 350.74 เมกะวัตต์ โดยมีการทยอยลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับผู้ผ่านการคัดเลือกไปจนเกือบครบแล้ว และโครงการรอบเพิ่มเติม เปิดรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีกจำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากรอบแรก ตามคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 เพื่อตอบสนองความต้องการของเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการอีกจำนวนมาก

โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งสองรอบมีปัญหาอะไร?

แม้โครงการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนที่ออกมานั้นจะดูเหมือนเป็นการตอบสนองเชิงนโยบายต่อเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด แต่โครงการรับซื้อไฟฟ้าทั้งสองรอบกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในด้านความโปร่งใส และถูกมองว่าอาจสร้างภาระค่าไฟให้ประชาชนต้องแบกรับไปอีกหลายสิบปี โดยมีคำถามและข้อสังเกตหลายประเด็น ได้แก่

  • ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์ในการให้คะแนนที่ใช้ในการคัดเลือก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งเป็นผู้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการทั้งสองรอบ ไม่มีการประกาศหลักเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน ซึ่งถูกตั้งคำถามต่อการใช้ดุลพินิจได้กว้างขวางในการคัดเลือกว่าจะให้เอกชนรายใดผ่านเข้ารอบบ้าง จนกลายเป็นประเด็นที่ กกพ. ถูกเอกชนฟ้องร้อง จากโครงการรอบแรก
  • อัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่เปลี่ยนแปลงไป กำหนดราคา FiT สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการรอบเพิ่มเติมด้วยเกณฑ์เดิมตั้งแต่ปี 2565 โดยไม่ใช้วิธีการแข่งขันทางด้านราคา ทั้งที่ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนมีแนวโน้มถูกลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์
  • ล็อคโควต้าส่วนหนึ่งให้เอกชน ในโครงการรอบเพิ่มเติม 3,668.5 เมกะวัตต์ จะมีการล็อคโควต้าไว้ 2,180 เมกะวัตต์ให้ผู้ที่เคยเข้าร่วมประมูลในโครงการรอบแรกแต่ไม่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 198 ราย มีสิทธิ์ยื่นก่อน ซึ่งถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและความเสมอภาคในการเปิดโอกาสให้ผู้พัฒนาโครงการรายใหม่ที่มีศักยภาพได้มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม
  • สัญญายาวนานถึง 25 ปี นอกจากจะพลาดโอกาสในการซื้อไฟฟ้าที่อาจมีต้นทุนถูกลงจากเทคโนโลยีใหม่แล้ว ยังมีความเสี่ยงจากประสิทธิภาพและคุณภาพของอุปกรณ์การผลิตไฟฟ้าที่อาจเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงกับความต่อเนื่องของการผลิตไฟฟ้าในระบบได้
  • กำหนดเงื่อนไขที่กีดกันรัฐวิสาหกิจ การตัดส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ไม่ให้ยื่นขอผลิตไฟฟ้าได้ ทั้งที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนด้วยต้นทุนไฟฟ้าที่ถูกกว่า เช่น กฟผ. ทำโครงการโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ที่เขื่อนสิรินธรได้ในปี 2564 และมีต้นทุนไฟฟ้าอยู่ที่ 1.5 บาท

ทำไมโครงการรอบแรกจึงเซ็นสัญญาได้ แต่รอบสองกลับถูกสั่งให้ชะลอ?

แม้โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งสองรอบจะถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใสจากกระบวนการคัดเลือกที่ใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน แต่โครงการรอบแรก 5,203 เมกะวัตต์นั้น รัฐบาลกลับปล่อยให้เอกชนทยอยลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้  ทั้งที่รู้ดีว่าหากปล่อยให้มีการลงนามสัญญาไปแล้ว การยกเลิกหรือแก้ไขจะเป็นไปได้ยาก เพราะตามระเบียบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ กกพ. ระบุไว้ว่าจะสามารถยกเลิกโครงการได้เฉพาะก่อนการลงนามสัญญาเท่านั้น โดยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ มีการเซ็นสัญญาไปครบแล้ว ในวันที่ 19 เมษายน 2568 เหลือเพียงพลังงานลมที่จะครบกำหนดเซ็นสัญญาภายในปี 2569 และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 บริษัท กันกุล พาวเวอร์ 3 จํากัด และบริษัท กันกุล พาวเวอร์ 5 จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จํากัด (มหาชน) ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการพลังงานลมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จํานวน 2 โครงการ รวมกำลังการผลิต 180 เมกะวัตต์ มีอัตรารับซื้อไฟฟ้า FiT อยู่ที่ 3.1014 บาทต่อหน่วยเป็นระยะเวลา 25 ปี 

วัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ว่าสาเหตุหลักที่รัฐบาลไม่สามารถยกเลิกโครงการรอบแรกได้คือ ข้อจำกัดทางกฎหมาย เนื่องจากโครงการรอบแรกเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2565 และได้ดำเนินการตามขั้นตอนจนเอกชนที่ผ่านคัดเลือกส่วนใหญ่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) แล้ว และบางส่วนเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว การยกเลิกเฉพาะสัญญาที่เหลืออยู่จะถือเป็นการดำเนินการแบบสองมาตรฐานและสร้างความขัดแย้งกับสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว จึงจำเป็นต้องดำเนินการให้มีการลงนามสัญญาจนครบถ้วนตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบของ กกพ.

สำหรับโครงการรอบเพิ่มเติม 3,668.5 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ กพช. ซึ่งมีประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้นเป็นประธาน มีมติเห็นชอบในวันที่ 9 มีนาคม 2566 ต่อมาวันที่ 27 กันยายน 2567 กกพ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าตามมติดังกล่าว ซึ่งยังคงใช้หลักเกณฑ์เดียวกับโครงการรอบแรก และมีเงื่อนไขการล็อกโควต้า 2,180 เมกะวัตต์ ทำให้เกิดเสียงทักท้วงจากภาคประชาสังคมอย่างกว้างขวาง แม้พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะส่งหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 ขอให้ระงับการรับซื้อไฟฟ้าจำนวน 2,180 เมกะวัตต์ไว้ชั่วคราว แต่ กกพ. ก็ยังคงประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกในส่วนของโควต้าดังกล่าวในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 โดยมีผู้ผ่านคัดเลือก 72 โครงการ ปริมาณรวม 2,145.4 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าโควต้าที่ล็อคไว้ 22.6 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตามเพียง 9 วันถัดมา ที่ประชุม กพช. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้เอกชนชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ 3 การไฟฟ้า (กฟผ., กฟภ., กฟน.) ไว้ก่อนเพื่อดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ

ไทม์ไลน์ของโครงการรอบเพิ่มเติม 3,668.5 เมกะวัตต์

โครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบเพิ่มเติม 3,668.5 เมกะวัตต์ มีมติและประกาศสำคัญหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับชะลอการรับซื้อและตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ โดยสามารถไล่เรียงเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ดังนี้

  • 9 มีนาคม 2566 มติ กพช. ครั้งที่ 2/2566 (ครั้งที่ 165)
    • เห็นชอบโครงการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติม จำนวน 3,668.5 เมกะวัตต์
    • มอบให้ กกพ. ดำเนินการต่อ และอาจปรับเงื่อนไขอื่นๆ ได้ (ยกเว้นอัตรารับซื้อ)
  • 27 กันยายน 2567 ประกาศ กกพ. รับซื้อไฟฟ้า
    • กำหนดเงื่อนไขล็อกโควต้า 2,180 เมกะวัตต์ ให้ผู้ผลิตที่เคยยื่นในรอบแรกแต่ไม่ผ่าน จำนวน 198 ราย ได้สิทธิ์ยื่นพิจารณาก่อน
  • 14 พฤศจิกายน 2567 พีระพันธุ์ ส่งหนังสือ ถึงเลขา กกพ.
    • พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ส่งหนังสือขอให้ระงับการรับซื้อไฟฟ้า จำนวน 2,180 เมกะวัตต์ ไว้ชั่วคราว
  • 16 ธันวาคม 2567 กกพ. ออกประกาศรายชื่อผู้ผ่านคัดเลือก
    • กกพ. ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคัดเลือกรอบล็อคโควต้า 2,180 เมกะวัตต์
    • มีผู้ผ่านคัดเลือก 72 ราย ปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวม 2,145​.4​ เมกะวัตต์ แบ่งเป็น พลังงานลม​ ​ 8​ ราย (565.40 เมกะวัตต์) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน​ 64​ ราย​ (1,580 เมกะวัตต์)
  • 25 ธันวาคม 2567 มติ กพช. ครั้งที่ 4/2567 (ครั้งที่ 170)
    • ให้เอกชนผู้ที่ผ่านคัดเลือกส่วนที่ล็อคโควต้าชะลอการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้าไว้ก่อน
    • ให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน กพช. มีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความถูกต้องของโครงการได้
  • 6 พฤษภาคม 2568 มติ กพช. ครั้งที่ 1/2568
    • ผลการตรวจสอบโครงการดังกล่าวพบว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทแสงอาทิตย์และพลังงานลมมีราคาลดลงจริง
    • กพช. จึงมอบหมายให้ กกพ. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. ไปเจรจากับเอกชนที่ผ่านคัดเลือกรอบล็อกโควต้า เพื่อปรับลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าลง โดยให้อิงราคาที่ กฟผ. ได้ดำเนินการ การเจรจานี้มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 
    • นอกจากนี้ กพช. ยังเห็นชอบให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้ารอบเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่ดำเนินการ จำนวน 1,523.1 เมกะวัตต์ไว้ก่อน โดยมอบหมายให้ สนพ. ศึกษาทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต
  • 30 มิถุนายน 2568 มติ กกพ. ครั้งที่ 23/2568 (ครั้งที่ 965)
    • จากกรณีที่ กพช. มีคำสั่งให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตที่ผ่านการคัดเลือก กกพ. จึงได้ออกประกาศกำหนดวันลงนามสัญญาขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ผลิตมีกรอบเวลาที่ชัดเจนในการดำเนินการ แม้การเจรจาปรับลดราคาจะยังไม่ได้ข้อสรุป โดยกำหนดเริ่มการลงนามสัญญาในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 มีรายละเอียดดังนี้
      • ถ้าโครงการมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ปี 2569 ต้องเซ็นสัญญาซื้อไฟภายใน 29 กรกฎาคม 2568 ประกอบด้วยโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นบนดิน ทั้งหมด 7 โครงการ รวมปริมาณไฟฟ้ารับซื้อ 279 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 
        • โซลาริสท์ นาแก้ว – 72 เมกะวัตต์
        • เฮลิออส 2 – 61.4 เมกะวัตต์
        • เฮลิออส 1 – 48.6 เมกะวัตต์
        • โซลาริสท์ บ้านเอื้อม – 48 เมกะวัตต์
        • โซลาริสท์ หนองยวง – 37 เมกะวัตต์
        • บางกอกโซลาร์ พาวเวอร์ (2 โครงการ) – 12 เมกะวัตต์
      • ถ้าโครงการมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ปี 2570-2573 ต้องเซ็นสัญญาภายใน 2 ปีนับตั้งแต่ครบกำหนดกระบวนการที่ 5* ประกอบด้วยโครงการที่เหลือ 65 โครงการ แบ่งเป็น 
        • โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบตั้งพื้นบนดิน 57 โครงการ – 1,301 เมกะวัตต์
        • โครงการพลังงานลม 8 โครงการ – 565.4 เมกะวัตต์
          *กระบวนการที่ 5 คือ การไฟฟ้าแจ้งให้ผู้ผลิตที่ได้รับคัดเลือกยอมรับเงื่อนไขการลงนามซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 14 วันนับจาก กกพ.ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือก

แม้จะมีการกำหนดวันลงนามสัญญาไว้ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น โดยในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ศุภโชติ ไชยสัจ สส. พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสด พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยศุภโชติ ระบุว่าได้มีการสอบถามไปยังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทำให้ทราบว่าที่ไม่มีการเซ็นสัญญาเกิดขึ้น เพราะยังติดปัญหาเรื่องราคาที่ กพช. ให้ไปศึกษาโดยให้อิงจากโครงการที่ กฟผ. เคยดำเนินการในอดีตนั้น ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้ เนื่องจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ กฟผ. มีประสบการณ์ในการดำเนินโครงการเป็นโซลาร์เซลล์แบบลอยน้ำเป็นหลัก ซึ่งมีโครงสร้างต้นทุนแตกต่างจากโซลาร์เซลล์แบบติดตั้งบนพื้นดิน หรือโครงการพลังงานลม กฟผ. เคยได้ดำเนินการเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว ซึ่งต้นทุนการผลิตในปัจจุบันได้ลดลงแล้ว ทำให้ราคาอ้างอิงจากโครงการในอดีตไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในปัจจุบัน 

ขณะที่พีระพันธุ์ ให้คำตอบประเด็นนี้ว่า การกำหนดราคาอ้างอิงใหม่เพื่อใช้ในการเจรจาที่เคยมอบหมายให้ใช้ราคาของ กฟผ. เป็นฐานในการคำนวณ ไม่ได้หมายถึงการกำหนดให้ใช้ราคาจากโครงการโซลาร์ลอยน้ำทั้งหมด แต่เป็นการใช้เพื่อเป็นฐานพิจารณา และสามารถปรับเพิ่มต้นทุนที่จำเป็นตามบริบทของแต่ละพื้นที่ได้ เช่น ถ้าเคยทำแบบลอยน้ำไม่มีพื้นดิน ก็บวกค่าใช้จ่ายเรื่องที่ดินเข้าไป เป็นต้น อย่างน้อยก็คาดว่าจะได้ราคาต่ำกว่าราคาเดิมที่เคยใช้อ้างอิง ซึ่ง กฟผ. เองก็ได้คำนวณแนวทางนี้มาเสนอแล้ว แต่ท้ายที่สุด กฟผ. ก็เลือกที่จะเสนอกับเลขานุการ กกพ. ว่าไม่สามารถนำเอามาราคาอ้างอิงไม่ได้

อำนาจมี แต่ใช้ไม่ได้…หรือไม่ได้ใช้?

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 นอกจากประเด็นความสับสนของหน่วยงานที่เกิดขึ้นจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แล้ว ยังมีคำถามสำคัญไปถึงบทบาทของ กพช. ในฐานะองค์กรที่มีอำนาจชี้ขาดในโครงการพลังงานหมุนเวียน ศุภโชติ ไชยสัจ สส. พรรคประชาชน ตั้งกระทู้สดถามไปยัง พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถึงการใช้อำนาจในการยกเลิกโครงการก่อนการลงนามสัญญา ซึ่งเป็นอำนาจที่ กพช. มีอยู่อย่างเต็มที่ตามระเบียบ แต่คำถามคือ กพช. จะกล้าตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่โปร่งใสที่ถูกตั้งข้อสังเกตมาอย่างยาวนานหรือไม่ หรือจะเลือกเพียงแค่การชะลอโครงการ แล้วปล่อยให้ความคลุมเครือและข้อกังขานี้ดำเนินต่อไปให้ซ้ำรอยเดิมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

โดยพีระพันธุ์ ได้ชี้แจงถึงข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อน แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันจะพยายามเข้ามาแก้ไข แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามมติของคณะกรรมการ ไม่ใช่การตัดสินใจของตัวบุคคล โดยเน้นย้ำว่าอำนาจไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประธาน กพช. แต่ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมเป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังระบุว่าที่ไม่ยกเลิกโครงการเพราะได้มีการหารือกับกรมบัญชีกลาง และตัวแทนกฤษฎีกาในที่ประชุมแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายยืนยันว่าการดำเนินการของ กกพ. ถูกต้องตามระเบียบ และ กกพ. ยังชิงออกประกาศก่อน ทำให้ไม่มีอำนาจที่จะสามารถสั่งยกเลิกโครงการได้อีกต่อไป ทำได้เพียงการเจรจาเพื่อปรับลดราคาเท่านั้น

แม้คำชี้แจงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจะระบุว่าปัญหาเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อน แต่การอ้างว่าไม่สามารถยกเลิกโครงการได้นั้นเป็นประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในระเบียบ กกพ. ว่าด้วยการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ฉบับวันที่ 27 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นระเบียบที่โครงการทั้งสองรอบยึดถือ ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในหน้าสุดท้าย ข้อ 39 ว่า “กกพ. ขอสงวนสิทธิ์ในการยกเลิกโครงการตามระเบียบนี้ ก่อนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ” ซึ่งหมายความว่า กกพ. มีสิทธิ์ที่จะยกเลิกโครงการรับซื้อไฟฟ้าได้ทุกเมื่อ ก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจริง หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาล ตามมติของ กพช. 

ดังนั้น กพช. ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จึงมีอำนาจเด็ดขาดในการยกเลิกโครงการได้ทุกเมื่อก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจริง ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่โครงการเริ่มต้นขึ้นในรัฐบาลใด แต่อยู่ที่ว่าเมื่อรัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาบริหารและรับทราบถึงข้อกังขาเรื่องความไม่โปร่งใสและภาระค่าไฟฟ้าที่อาจสูงขึ้นแล้ว ได้เลือกที่จะใช้อำนาจที่มีอยู่นั้นในการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่หรือไม่ ซึ่งการที่รัฐบาลเลือกที่จะไม่ใช้อำนาจในการยกเลิกอย่างเด็ดขาด ทั้งที่รับทราบถึงว่าหากปล่อยให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในระยะยาว จึงไม่สามารถถือเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมได้

ทางเลือกที่ดีกว่า เพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

ในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดนั้น ยังมีทางเลือกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมาใช้ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้อย่างเป็นธรรม โดยไม่จำเป็นต้องเดินหน้าโครงการที่มีข้อกังขาด้านหลักเกณฑ์การคัดเลือก เช่น การล็อกโควตาหรือการล็อกราคา ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนบางกลุ่ม และแนวทางเหล่านี้ยังช่วยวางรากฐานการบริหารจัดการโครงการที่โปร่งใสและสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว โดยมีตัวอย่างแนวทางที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปรับใช้ได้ ดังนี้

  • การประมูลแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) 
    เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกรายเข้าร่วมการประมูล โดยผู้ที่เสนอราคาขายไฟฟ้าต่ำที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล ซึ่งจะนำไปสู่การได้มาซึ่งราคารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมที่สุด และสะท้อนราคาตลาดได้อย่างแท้จริง แนวทางนี้จะช่วยลดข้อกังขาด้านความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นจากการใช้ราคารับซื้อไฟฟ้าในอัตราคงที่ (FiT) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและคงที่ตลอดอายุสัญญาและยังเป็นกลไกที่ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาวได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะการแข่งขันจะผลักดันให้เกิดการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง

  • ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) 
    การสนับสนุนให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดเล็กสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) และขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้แก่ระบบในราคาที่เหมาะสมจะเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยกระจายโอกาสในการผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน และลดการผูกขาดของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่
    โดยรายงาน “ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน” จาก กรีนพีซ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย ฉะเชิงเทราจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. 2581 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากมีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และขายคืนให้แก่ภาครัฐได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะมีศักยภาพอยู่แล้ว

  • การซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) และเดินหน้าสู่ระบบ Third-Party Access (TPA) 
    Direct PPA คือรูปแบบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้ากับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่เป็นระบบจำหน่ายไฟฟ้าอย่าง การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในฐานะผู้ซื้อเพียงรายเดียวอีกต่อไป แต่ผู้ผลิตและผู้ใช้สามารถตกลงซื้อขายกันเองได้โดยตรง ผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาใช้โครงสร้างพื้นฐาน (สายส่ง) ที่มีอยู่เดิมแทนที่จะต้องลงทุนสร้างใหม่ทั้งหมด โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าการเดินหน้าสู่ระบบ TPA จะเป็นกลไกสำคัญที่ปลดล็อกการแข่งขัน เพิ่มความโปร่งใส และสร้างราคาที่สะท้อนต้นทุนแท้จริง โดยไม่ต้องอาศัยการเจรจาระหว่างรัฐกับเอกชนแบบรวมศูนย์ที่มักนำไปสู่ข้อกังวลด้านธรรมาภิบาล
    ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Direct PPA และ TPA จึงเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างตลาดพลังงานที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และส่งเสริมการเติบโตของพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

หารรัฐบาลเลือกจะใช้อำนาจที่มีอยู่ยกเลิกโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และหันไปใช้แนวทางที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น การประมูลแข่งขันด้านราคา (Competitive Bidding) การส่งเสริม Solar Rooftop หรือเปิดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง โดยมีระบบ Third-Party Access (TPA) เข้ามาเสริม จะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าในระยะยาวของประชาชนได้ และยังทำให้ระบบพลังงานของประเทศมีความหลากหลายและยืดหยุ่น เอื้อต่อการแข่งขันทางเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ประเทศสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมที่สุด

การตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะกำหนดว่าโครงการที่มีข้อกังขานี้จะเดินหน้าต่อไปหรือยกเลิก แต่จะเป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานใหม่ให้กับระบบพลังงานของประเทศ ว่าในอนาคตการดำเนินโครงการด้านพลังงานจะต้องอยู่บนหลักการของธรรมาภิบาล ไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใดกลุ่มหนึ่ง และยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อสร้างอนาคตพลังงานที่ยั่งยืน เป็นธรรม และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง

บทความยอดนิยม

แผนพลังงานชาติ (NEP) คืออะไร  ทำไมเพิ่งจะมี ?   แผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) หรือ

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg L.P. ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ย้อนดูจุดกำเนิดโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ที่ไหน-ใครเป็นเจ้าของ
สำรวจความเป็นมาของโครงการฯ พร้อมดูว่ากลุ่มบริษัทไหนได้โควต้าบ้าง

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

สรุปประเด็นสำคัญจากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg

รายงานจาก BloombergNEF ชี้ “ต้นทุนจากแสงอาทิตย์ของไทยต่ำกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซใหม่”

รายงานชี้ ปี 2025 ต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในไทยจะถูกกว่าโรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหินอย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยเพียง 33-75 ดอลลาร์สหรัฐ/MWh

ข้อสังเกตจาก JustPow ต่อคำชี้แจงของ สนพ. กรณีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน

จากการที่ภาครัฐมีการลงนามรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก  5,200 เมกะวัตต์ เพิ่มอีก 3 สัญญา ในวันที่

รมว.พลังงานแจง ไม่มีอำนาจชะลอเซ็นสัญญาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนรอบแรก

“ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่เป็นเงื่อนไขที่กำหนดโดยคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 และรัฐมนตรีพลังงานไม่มีอำนาจใน กกพ. เลย ส่วน กฟผ. นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมีอำนาจแค่กำกับ” ศศิกานต์​ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำชี้แจงของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในประเด็นเรื่องโครงการซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 จากกรณีโครงการประมูลไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รอบแรก 5,200 เมกะวัตต์ ที่จะมีการลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าในส่วนของโครงการที่ยังไม่ได้ลงนามในวันที่ 19 เมษายน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น โดยก่อนหน้านี้ มีโครงการที่ กฟผ. เกี่ยวข้อง 83 โครงการ และเซ็นสัญญาแล้ว 67 โครงการ และมีการเปิดเผยว่าในวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา มีการลงนามเพิ่มอีก 3 สัญญา โดยยังเหลือที่ยังไม่ได้ลงนามอีก 16 สัญญา โดยกล่าวว่าที่ต้องลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้านั้นมาจากการที่มีเงื่อนไขกำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย […]