น้ำจะพอไหม หากโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ต้องใช้น้ำจากคลองระบม 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี 

โรงไฟฟ้าประเภทความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า จะต้องมีการใช้น้ำหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าความร้อนเพื่อระบายความร้อนออกจากระบบ โดยใช้แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำ น้ำจะถูกสูบเข้ามาเพื่อใช้หล่อเย็นในระบบปิด และจะไหลเวียนในระบบเพื่อลดอุณหภูมิของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กังหันไอน้ำหรือหม้อไอน้ำ ก่อนจะนำกลับไปใช้ใหม่หรือปล่อยคืนสู่แหล่งน้ำ

เช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จากรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) พบว่าโครงการจะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลบ.ม./วัน หรือประมาณ 4.32 ล้านลบ.ม./ปี โดยมีบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัด เป็นผู้จัดหาน้ำนำมาเก็บในบ่อกักเก็บน้ำ จำนวน 1 บ่อ ขนาดความจุประมาณ 46,055 ลูกบาศก์เมตร โดยส่วนใหญ่ใช้ในกระบวนการหล่อเย็น ประมาณ 11,753 ลบ.ม./วัน นอกจากนี้ในเอกสาร EIA ยังระบุว่าน้ำที่จะใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จากบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย นั้นได้รับอนุญาตจากกรมชลประทานให้สามารถสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ในกรณีเกิดการขาดแคลนน้ำและบริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จำกัดไม่สามารถส่งน้ำให้กับโครงการฯ ได้ โครงการจะลดกำลังการผลิต หรือหยุดดำเนินการ

น้ำมีอยู่เท่าไหร่ พิจารณาจากไหนบ้าง

จากข้อมูลพื้นฐานของจังหวัดฉะเชิงเทรา ข้อมูล  ณ วันที่ 28 มีนาคม 2568  ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางจำนวน 5 แห่ง เท่ากับ 72.714 ล้าน ลบ.ม. (ปริมาณความจุรวมอ่างเก็บน้ำ 483.63 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็น 15.04 % ของความจุอ่างเก็บน้ำ ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของจังหวัดจำแนกเป็น 4 ด้าน (รายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการพัฒนา
และจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก)

  • อุปโภคบริโภค    41.89    ล้าน ลบ.ม.
  • ระบบนิเวศ        18.25    ล้านลบ.ม.
  • เกษตรกรรม  1,304.73    ล้านลบ.ม.
  • อุตสาหกรรม    108.92 ล้าน ลบ.ม.

หากจะพิจารณาความต้องการน้ำและปริมาณน้ำขาดแคลนในพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวว่าการขอใช้น้ำของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ซึ่งจะสูบน้ำจากคลองระบมนั้นจะส่งผลต่อความต้องการน้ำและปริมาณน้ำขาดแคลนอย่างไร อาจจะต้องพิจารณาปริมาณน้ำและการใช้น้ำทั้งคลองระบม คลองสียัด และคลองท่าลาด เนื่องจากเป็นส่วนของลำน้ำที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งจะส่งผลต่อความต้องการน้ำและปริมาณน้ำขาดแคลน

คลองระบมจะมีอ่างเก็บน้ำคลองระบมเป็นแหล่งน้ำหลัก โดยอ่างเก็บน้ำคลองระบมมีความจุอยู่ที่ 55.5 ล้าน ลบ.ม. จากข้อมูลระบบฐานข้อมูลน้ำในอ่างเก็บน้ำ ของกรมชลประทาน จะพบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองระบมจะมีปริมาณน้อยลงมากในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนกันยายน และหากพิจารณาจากปริมาณน้ำที่ใช้ได้จะพบว่าในปี 2567 เดือนที่มีปริมาณน้ำที่ใช้ได้ต่ำที่สุดคือเดือนพฤษภาคม มีปริมาณเพียง 2.23 ล้าน ลบ.ม. และปริมาณน้ำจะยังคงต่ำไปจนถึงเดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นเดือนที่บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ ซัพพลาย จะเริ่มสูบน้ำจากคลองระบมเพื่อส่งให้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ นอกจากนี้หากดูปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองระบม ย้อนหลัง 5 ปี ก็จะพบว่าในช่วงปีหลังๆ ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองระบมลดลงอย่างมาก

ในขณะที่อ่างเก็บน้ำคลองสียัดนั้น มีความจุอยู่ที่ 420 ล้าน ลบ.ม. จากข้อมูลระบบฐานข้อมูลน้ำในอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทาน จะพบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองสียัดจะมีปริมาณน้อยลงมากในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนกันยายนเช่นเดียวกัน มากไปกว่านั้นจะพบว่าปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองสียัดและปริมาณน้ำที่ใช้ได้นั้นมีสัดส่วนที่ต่ำมาก โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาพบว่าเดือนที่มีปริมาณน้ำใช้ได้ต่ำที่สุดของอ่างเก็บน้ำคลองสียัดคือเดือนพฤษภาคม มีปริมาณเพียง 12.55 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 2.99% ของปริมาณความจุของอ่างเก็บน้ำเท่านั้น ในขณะเดือนที่มีปริมาณน้ำที่ใช้ได้มากที่สุดซึ่งก็คือเดือน พฤศจิกายน ก็มีเพียง 209.42 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งก็ยังไม่ถึง 50% ของปริมาณความจุของอ่างเก็บน้ำคลองสียัด สอดคล้องกับสถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 นี้ที่ปริมาณในอ่างเก็บน้ำคลองสียัดแม้จะใกล้ปลายฤดูฝนแล้วแต่กลับมีน้ำไม่ถึง 25% ของของความจุของอ่างเก็บน้ำ

คลองระบมที่โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์จะดูดน้ำไปใช้ มีน้ำพอหรือเปล่า?

ในส่วนของการใช้น้ำของคลองระบมจะพบว่า นอกจากการใช้น้ำในภาคการเกษตรและน้ำเพื่อการรักษาระบบนิเวศท้ายน้ำแล้ว ในส่วนของการใช้น้ำนอกภาคการเกษตร จากข้อมูลของกรมชลประทาน จะพบว่า มีการขอใช้น้ำจากบริษัทเอส ซี อินดัสทรี ปีละไม่เกิน 180,000 ลบ.ม./ปี บริษัทน้ำใส 304 ปีละไม่เกิน 8,000,000 ลบ.ม./ปี บริษัทบีบีจีไอ ไบโอเอทานอล ปีละไม่เกิน 493,700 ลบ.ม./ปี 

หากจะพิจารณาความต้องการน้ำและปริมาณน้ำขาดแคลนของคลองระบม ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ร่วมกันระหว่างปริมาณการจัดสรรน้ำจากอ่างระบมและปริมาณน้ำท่าในคลองระบม รวมถึงความต้องการใช้น้ำตามจุดการใช้น้ำ (Node) ต่างๆ ในแผนผังน้ำ (Schematic) ของคลองระบม โดยอ้างอิงจากโครงการการบริหารและการประมวลผลการศึกษาโครงการวิจัยเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะสมดุลน้ำและมาตรการลดการใช้น้ำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ปี 2563 โดย รศ.ดร.บัญชา ขวัญยืน และคณะ จากข้อมูลจะพบว่ามีเพียงเดือนกันยายนเท่านั้น ที่ไม่มีการขาดแคลนน้ำ (การขาดแคลนน้ำเป็นศูนย์) ในขณะที่เดือนอื่นๆ นั้นมีการขาดแคลนน้ำในคลองระบมทุกเดือน 

ดังนั้นการที่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ซึ่งจะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการ ในอัตรา 12,000 ลบ.ม./วัน หรือประมาณ 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี โดยจะมีการสูบน้ำจากคลองระบม เฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม (รวม 4 เดือน) ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณในอ่างเก็บน้ำยังอยู่ในระดับต่ำ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำในคลองระบมมากขึ้น จากที่มีเพียง 1 เดือนที่ไม่มีการแคลนน้ำก็จะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำทุกเดือน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำภาคการเกษตรที่มีความต้องการใช้น้ำเป็นสัดส่วนหลักของจังหวัด และอาจกระทบสมดุลน้ำใช้อุปโภคบริโภค ไปจนถึงการรักษาระบบนิเวศท้ายน้ำ

ไม่เพียงแค่นั้นการที่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์จะมีการสูบน้ำจากคลองระบม อาจจะส่งผลโดยตรงถึงการใช้น้ำในคลองท่าลาด ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดแหล่งหนึ่งของจังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องด้วยเป็นลุ่มน้ำที่จะมีการของใช้น้ำไปทำประปาถึง 5 สาขาด้วยกัน 

คลองท่าลาดน้ำจะขาดแคลนไหม หากมีการดูดน้ำที่ต้นน้ำในคลองระบม

การจะพิจารณาความต้องการน้ำและปริมาณน้ำขาดแคลนของคลองท่าลาด ต้องพิจารณาทั้งสามส่วน ส่วนแรกก็คือน้ำจากคลองระบม ซึ่งจากข้อมูลก็จะพบว่ามีการขาดแคลนน้ำ 11 เดือนใน 1 ปี ส่วนที่สองก็คือคลองสียัด ที่จะต้องพิจารณาจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองสียัด โดยพบว่าอยู่ในขั้นวิกฤต มีปริมาณน้ำที่ใช้การได้ต่ำมาก และส่วนที่สามก็คือการใช้น้ำในคลองท่าลาด 

ข้อมูลจากโครงการจัดทำฐานข้อมูลพื้นฐานลุ่มน้้า 22 ลุ่มน้้า รายงานสรุปข้อมูลพื้นฐานของลุ่มน้ำ ลุ่มน้ำบางปะกง จัดโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2563 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พบว่าคลองลาดมีปริมาณการใช้น้ำที่สูงมากอยู่แล้ว จากภาคการเกษตรทั้งในและนอกเขตพื้นที่กรมชลประทาน พบว่า มีการขอใช้น้ำจากทั้งบริษัทเอกชนอย่าง บริษัท อินดัสเทรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด ปีละไม่เกิน 7.3 ล้าน ลบ.ม./ปี บริษัท ที-วอเตอร์ (อีอีซี) จำกัด 80 ล้าน ลบ.ม./ปี และการประปาอีก 5 แห่งคือ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (ท่ากง) 5.4 ล้าน ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (เกาะขนุน) 3.6 ล้าน ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาบางคล้า 7.2 ล้าน ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนัสนิคม 10 ล้าน ลบ.ม./ปี การประปาส่วนภูมิภาคสาขาฝายท่าลาด 35 ล้าน ลบ.ม./ปี รวมแล้วกว่า 148.5 ล้าน ลบ.ม./ปี

นอกจากนี้ข้อมูลจากรายงานการวิจัยของโครงการ “ศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักการพัฒนาและจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก” ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พบว่าในปี 2560 ลุ่มน้ำคลองท่าลาดมีการขาดแคลนน้ำอยู่ 0.35 ล้าน ลบ.ม. ในขณะที่ผลการวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตพบว่าในปี พ.ศ. 2570 ลุ่มน้ำคลองท่าลาดก็ยังจะขาดแคลนน้ำอยู่ 0.13 ล้าน ลบ.ม. เช่นเดียวกันกับแนวโน้มในปีพ.ศ. 2580 ยังจะขาดแคลนน้ำอยู่ 0.13 ล้าน ลบ.ม. เท่ากัน 

จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า การที่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ จะมีการใช้น้ำในระยะดำเนินการในอัตรา 12,000 ลบ.ม/วัน หรือประมาณ 4.32 ล้าน ลบ.ม./ปี โดยจะสูบน้ำจากคลองระบม นอกจากอาจจะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำในคลองระบมแล้ว ยังอาจจะส่งผลใ้ห้เกิดการขาดแคลนน้ำในคลองท่าลาดอีกด้วย ซึ่งการขาดแคลนน้ำในคลองท่าลาดนั้น จะส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทราเกือบทั้งจังหวัด ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ตำบลเขาหินซ้อนเท่านั้น เนื่องด้วยน้ำในคลองท่าลาดจะถูกนำไปใช้ในการผลิตตน้ำประปาเพื่ออการอุปโภคและบริโภคทั้งในส่วนของการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (ท่ากง), การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนมสารคาม (เกาะขนุน), การประปาส่วนภูมิภาคสาขาบางคล้า, การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพนัสนิคม และการประปาส่วนภูมิภาคสาขาฝายท่าลาด อันนำมาสู่ความกังวลว่าจะเกิดการแย่งชิงทรัพยากรน้ำในพื้นที่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา

บทความยอดนิยม

นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภาวะ ‘ค่าไฟฟ้าแพง’ ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บเคยได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 4.72 บาท/หน่วย อันนำมาซึ่งภาระ ‘หนี้ กฟผ.’ ที่มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาท แม้ว่าในปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจะลดลงจากช่วงเวลาดังกล่าว แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าโดยรวมยังคงอยู่ในระดับสูง และในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าแต่ละรอบ ก็ยังคงมีการดำเนินแนวทางให้ กฟผ. รับภาระหนี้อย่างต่อเนื่อง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติกำหนดเป้าหมายค่าไฟฟ้างวดเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2568 ให้ไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ภายหลังจากที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศตรึงค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท/หน่วยไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2568 กกพ. จึงมีมติปรับลดค่าไฟฟ้ารอบเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2568 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เพื่อสนองนโยบายรัฐ โดยเป็นการนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ประมาณ […]

ในการจะสร้างเขื่อนแห่งใหม่ในประเทศลาวที่จะเสนอขายไฟให้กับประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องได้ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า – Tariff MOU ก่อนจะนำไปสู่การเจรจากับผู้พัฒนาโครงการเพื่อจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Tariff Power Purchase Agreement:

สำรวจและทำความเข้าใจความหมายเบื้องต้นของความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงประเทศไทยมีจุดยืนเป็นอย่างไรในเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง จะนำมาใช้ในกรณีโรงไฟฟ้าจะเดินเครื่องด้วยน้ำมันดีเซลต่อเมื่อได้รับการสั่งการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เช่น

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg L.P. ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไทยติดกับดักเชื้อเพลิงฟอสซิล แผนพลังงานสวนทางเป้าหมาย Net Zero 2050

วันนี้ (7 พ.ย. 2025) JustPow ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จัดงาน “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

พืชผลการเกษตรและคุณภาพชีวิตรอบโรงไฟฟ้าที่อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษ

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม ซึ่งเชื้อเพลิงหลักคือก๊าซธรรมชาติจากบริษัท ปตท. โดยคาดว่าจะมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติประมาณ 31,025 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อปี ส่วนเชื้อเพลิงสำรอง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้ สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่  สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า […]