JustPow เปิดตัวเว็บแอปฯ ‘ค่าไฟไปไหน’

ในปี 2568 จะพบว่าค่าไฟลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 4.18 บาทต่อหน่วยในปี 2567 เหลืออยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วยในช่วงเดือน มกราคม-เมษายน 2568 และในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ลดลงเหลือ 3.98 ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม อยู่ที่ 3.94 บาท/หน่วย และล่าสุด (1 ธ.ค. 2568) จากการที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศอัตราค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคม-เมษายน 2569 ลดลงเหลือ 3.88 บาท/หน่วย จากที่เสนอมาในครั้งแรกหน่วยละ 3.94 บาท เนื่องด้วยคาดการณ์ว่าราคา LNG จะปรับลดลงจาก 12.5 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ลงมาเหลือ 11.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู 

อย่างไรก็ตาม การลดค่าไฟในช่วงที่ผ่านมา ใช้วิธีนำเงินเรียกคืนจากผลประโยชน์ส่วนเกิน (Claw Back) ของ 3 การไฟฟ้า ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในส่วนที่ไม่ได้มีการลงทุนตามแผน มาใช้ในการปรับลดค่าไฟฟ้า ในขณะที่ครั้งล่าสุดค่าไฟงวดมกราคม-เมษายน 2569 นี้สามารถปรับลดค่าไฟลงได้เนื่องจากราคา LNG ที่ลดลง นั่นหมายความว่า LNG มีผลทำให้ค่าไฟของเราขึ้น-ลง อย่างมีนัยสำคัญ ว่าแต่คุณรู้ไหมว่าค่าไฟที่คุณจ่ายทุกเดือน มีค่า LNG อยู่ในนั้นกี่บาท และค่าไฟที่เราจ่ายทุกๆ เดือนนั้น สะท้อนโครงสร้างที่เป็นธรรมแล้วหรือยัง? และเราเข้าใจโครงสร้างค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบิลค่าไฟของเรามากน้อยแค่ไหน?

ในบิลค่าไฟที่ทุกคนต้องจ่ายในแต่ละเดือนนั้น มีทั้งค่าพลังงานไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และค่าอื่นๆ แต่แท้จริงแล้วมันประกอบด้วยอะไรบ้าง ปลายทางของเงินที่เราจ่ายให้การไฟฟ้าฯ สุดท้ายไปอยู่ในกระเป๋าใคร แล้วค่าไฟที่เราต้องจ่ายอยู่ตอนนี้ ถือว่าเป็นธรรมแล้วหรือยัง?

JustPow แพลตฟอร์มที่เป็นการรวมตัวกันขององค์กรที่ทำงานด้านข้อมูล องค์ความรู้ การสื่อสารในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำเว็บแอปฯ ‘ค่าไฟไปไหน’ ขึ้น เพื่อตอบคำถามดังกล่าว โดยเมื่อผู้ใช้กรอกตัวเลขค่าไฟที่จ่ายไปในเดือนนั้นๆ เว็บแอปฯ จะแสดงผลการคำนวณแบบเฉพาะบุคคล (personalized) แตกรายละเอียดว่าเงินนั้นไปที่ภาครัฐหรือภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายหลักในปัจจุบัน ในสัดส่วนเท่าใด คิดเป็นเงินกี่บาท โดยในการคำนวณอาศัยข้อมูลจากเอกสารองค์ประกอบค่าไฟฟ้าปี 2566 และรายงานประมาณการค่า Ft ปี 2566 

สันติชัย อาภรณ์ศรี ผู้ประสานงาน JustPow กล่าวว่า “เราต้องการชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างค่าไฟไม่ใช่แค่ตัวเลขกลมๆ ที่ต้องจ่ายตามกำหนด ไม่ใช่แค่ค่าไฟฐานหรือค่า Ft ที่สุดท้ายแล้วหลายคนก็ไม่รู้ว่าสองค่านั้นคืออะไร มีอะไรเป็นส่วนประกอบเท่าใด แค่ไหนบ้าง มากไปกว่านั้น ประชาชนในฐานะผู้ที่จ่ายค่าไฟ ควรจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างง่ายและโปร่งใส ควรจะเข้าใจว่าเงินค่าไฟที่จ่ายไปทุกเดือนนั้นมาจากวิธีคิดการวางแผนเรื่องพลังงานอย่างไร แล้ววิธีคิดแบบนั้นทำให้เกิดอะไรบ้าง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายในบิลค่าไฟของเราทุกคนนั้น มันถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรมมากน้อยแค่ไหน ค่าใช้จ่ายอะไรที่เราควรจะเข้าใจและสามารถตั้งคำถามกับมันได้ เพื่อนำไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงและเรียกร้องความเป็นธรรมของโครงสร้างค่าไฟไทยอย่างแท้จริง” 

ไม่เพียงแค่นั้น เว็บแอปฯ ‘ค่าไฟไปไหน’ ยังแสดงรายละเอียดปลีกย่อยลงไปด้วยว่า ในจำนวนเงินที่จ่ายไปนั้น ในส่วนค่าไฟที่จ่ายไปยังภาครัฐและภาคเอกชน แบ่งเป็น 3 ค่าหลักคือ ค่าเชื้อเพลิง ค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อแตกรายการย่อยออกมา ก็จะพบว่า ค่าไฟที่จ่ายไปยังภาครัฐและภาคเอกชนในส่วนของค่าเชื้อเพลิงนั้น มีรายการที่เหมือนกัน คือ ก๊าซ ถ่านหิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา แต่จำนวนเงินที่จ่ายนั้นไม่เท่ากัน ในขณะที่ค่าดำเนินการและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากค่าไฟที่จ่ายไปยังภาครัฐและภาคเอกชนมีรายการที่แตกต่างกัน เช่น ในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของภาครัฐจะมีค่าสายส่ง ส่วนเอกชนจะมีค่าผ่านท่อ เป็นต้น ซึ่งทำให้สุดท้ายแล้วจำนวนเงินค่าไฟที่จ่ายไปยังภาครัฐและภาคเอกชนนั้นไม่เท่ากัน 

การออกแบบโครงสร้างค่าไฟแบบใหม่ของเว็บแอปฯ ค่าไฟไปไหนในครั้งนี้ทำให้เห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ใต้โครงสร้างค่าไฟอย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายมากขึ้นผ่านทั้งการแตกรายละเอียดโครงสร้างค่าไฟ และคำอธิบายในแต่ละค่าใช้จ่าย โดยข้อมูลจากการคำนวณในครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในบิลค่าไฟ และค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ จากโครงสร้างวิธีคิดต้นทุนค่าไฟของไทย ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าไฟแพงอีกด้วย 

นอกจากจะทำให้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนและเข้าใจง่ายมากขึ้นของโครงสร้างค่าไฟแล้ว ในเว็บแอปฯ ค่าไฟไปไหน ยังมีส่วนเนื้อหา ‘เงินค่าไฟไปไหนต่อ’ ให้ผู้ใช้งานได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าในแต่ละค่าใช้จ่ายในบิลค่าไฟ มีที่มาที่ไปอย่างไร มีข้อมูลอะไรที่ต้องรู้เพิ่มเติมบ้าง และที่สำคัญในแต่ละค่าใช้จ่ายนั้นจ่ายไปยังใครบ้าง โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปยังภาคเอกชน มีบริษัทไหนบ้างที่เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของค่าใช้จ่ายส่วนนั้นๆ 

เนื้อหาในส่วนนี้นอกจากจะให้ข้อมูลในแต่ละประเด็นอย่างละเอียดและลึกซึ้งแล้ว ยังทำให้ผู้อ่านได้เห็นถึงปัญหาของโครงสร้างค่าไฟของไทยที่เป็นอยู่ ที่ถึงแม้จะมีการลดค่าไฟอย่างต่อเนื่องแล้วแต่ก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่แท้จริงของค่าไฟ ไม่ว่าจะเป็นการที่ไฟฟ้าของไทยนั้นยังคงพึ่งพาก๊าซเป็นหลัก ยิ่งราคาก๊าซแพงขึ้นเท่าไร ค่าไฟยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น หรืออีกประเด็นที่น่าตั้งคำถามไม่แพ้กันคือ ค่าความพร้อมจ่ายที่คนไทยจะต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชน ไม่ว่าโรงไฟฟ้านั้นจะจ่ายไฟเข้าระบบหรือไม่ก็ตาม 

อันนำมาสู่ส่วนสุดท้ายของเว็บแอปฯ ค่าไฟไปไหนที่เปิดให้ผู้ใช้งานที่เห็นถึงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมของค่าไฟได้ร่วมลงชื่อเรียกร้อง ผลักดัน โครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรมกับทาง “เครือข่ายค่าไฟที่เป็นธรรม” ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวบรวมภาคประชาสังคมและภาคเอกชนที่รณรงค์ให้มีการกำหนดนโยบายด้านพลังงานไฟฟ้าที่ยั่งยืนและราคาที่เป็นธรรม โดยเคยมีแคมเปญ #ค่าไฟต้องแฟร์ ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา 

ผู้สนใจสามารถเข้าใช้งานเว็บแอปฯ ‘ค่าไฟไปไหน’ พร้อมกรอกตัวเลขค่าไฟฟ้า เพื่อแสดงผลการคำนวณและวิเคราะห์โครงสร้างอย่างละเอียดได้แล้วที่ https://electricity-bill-breakdown.justpow.co/ 

ข่าวยอดนิยม

ในปี 2567 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน จัดทำร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024) และมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่

รัฐสภายุโรปอนุมัติกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากรถบรรทุกเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยในสาระสำคัญของกฎหมายนี้ รถบรรทุกที่ขายในสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2040 เป็นต้นไป จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 90% กฎหมายนี้จะส่งผลให้ผู้ผลิตรถบรรทุกหรือยานยนต์สำหรับงานหนัก ต้องให้ความสำคัญกับการผลิตรถที่ลดการปล่อยมลพิษมากขึ้น ซึ่งรวมถึงรถไฟฟ้าและรถที่ใช้พลังงานไฮโดรเจน เพื่อลดสัดส่วนการจำหน่ายยานพาหนะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตลาดลงให้ได้ถึง 90% ในปี 2040 โดยกฎหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้รถไฟฟ้าให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ระหว่างทางก่อนจะถึงเป้าหมายนั้น ผู้ผลิตรถบรรทุกยังต้องปฏิบัติตามข้อบังคับในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 45% ภายในปี 2030 แทน 30% ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิม ทั้งยังต้องบรรลุเป้าหมายที่จะลดให้ได้ 65% ภายในปี 2035 อีกด้วย ในการลงมติเพื่ออนุมัติกฎหมายนี้ มีเพียงอิตาลี โปแลนด์ และสโลวาเกียเท่านั้นที่ลงคะแนนเสียงคัดค้าน ในขณะที่สาธารณรัฐเช็กเป็นประเทศเดียวที่งดออกเสียง โดยประเทศที่ได้รับการจับตามองในการลงมติครั้งนี้มากที่สุดประเทศหนึ่ง คือ เยอรมนี เพราะนอกจากจะเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้แล้ว ก่อนหน้านี้เยอรมนีเป็นประเทศที่พยายามเจรจาเพื่อให้ใช้เครื่องยนต์สันดาปที่ใช้เชื้อเพลิงซึ่งผลิตจากกระแสไฟฟ้า หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ได้ นอกจากความพยายามที่จะเจรจาเรื่องเชื้อเพลิงสังเคราะห์แล้ว ยังมีเรื่องท่าทีของรัฐบาลเยอรมนีที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งภายในรัฐบาลผสมของเยอรมนี ดังนั้น เพื่อให้เยอรมนีลงมติเห็นชอบในกฎหมายนี้ ทางสหภาพยุโรปได้เพิ่มบทนำที่ระบุว่า สหภาพยุโรปจะพิจารณาการบรรจุข้อกำหนดเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อนับรวมรถที่ใช้เชื้อเพลิงที่เป็นกลางทางคาร์บอนในกรณีที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ยุโรป ณ เดือนธันวาคม 2023 ระบุว่า การขนส่งสินค้าทางถนนถือเป็นหัวใจสำคัญของการค้าและการพาณิชย์ของทวีปยุโรป […]

เนื่องด้วยวันที่ 5 มิถุนายน เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก JustPow ชวนสำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภาคพลังงานของไทย โดยเฉพาะประเด็นการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลของไทยที่ดูเหมือนว่าในอนาคตจะลดลงน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายของการเดินทางไปสู่การเป็นประเทศ Net Zero จะรักสิ่งแวดล้อมยังไง

ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2567 (PDP2024) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นในวันที่ 19-23 มิถุนายน 2567 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้การจัดให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นยังเป็นการเปิดให้แสดงความคิดเห็นผ่านใต้โพสต์เฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของ

หยุดเซ็นโรงใหม่ ชะลอโรงที่เซ็นไปแล้ว หนุนโซลาร์เซลล์

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ไม่แคร์  Net Zero ไม่แคร์ค่าไฟแพง ประเทศไทยเดินหน้านำเข้า LNG เพิ่ม พร้อมสร้างท่าเรือ LNG แห่งที่สาม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหินและน้ำมันผลิตไฟฟ้า ไปสู่ยุค ‘โชติช่วงชัชวาล’ จากการค้นพบและใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย แต่เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยส่วนหนึ่งถูกนำไปใช้สร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้การจัดหาก๊าซเพื่อผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้น ไทยจึงจำเป็นต้องจัดหาก๊าซเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอก

สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้ สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่  สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า […]

เงินค่าไฟไปไหนต่อ

สำรวจต่อจากแอปฯ ค่าไฟไปไหน

ไฟฟ้าไทย อยู่ในมือใคร? 

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า