โครงการเขื่อนปากแบง เป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการก่อสร้างในปีนี้ และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576
นอกจากปัญหาหลักในส่วนของประเด็นเรื่องพลังงาน ทั้งการที่กำลังการผลิตของไทยล้นเกินอยู่แล้ว เขื่อนในลาวที่ไทยซื้อไฟผลิตไฟได้น้อยลงเรื่อยๆ จากปัญหาระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ผันผวนอันเกิดมาจากทั้งเขื่อนแม่น้ำโขงของจีนที่ต้นน้ำ ที่กักและปล่อยน้ำจนทำให้ระดับน้ำไม่เป็นไปตามธรรมชาติ รวมไปถึงปรากฏการณ์เอลนิโญ่อันมีสาเหตุมาจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้หน้าแล้งน้ำในแม่น้ำโขงลดลง และราคารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนใหม่แพงมากขึ้น และเกือบจะเทียบเท่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งพร้อมแบตเตอรี่ที่ในอนาคตราคายังจะถูกลงเรื่อยๆ ไปอีก ในขณะที่ราคาไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวกลับสูงขึ้นเรื่อยๆ ที่ทำให้ไม่ควรสร้างเขื่อนปากแบง
อีกประเด็นที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความไม่จำเป็นจะต้องสร้างเขื่อนปากแบงก็คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน โดยเฉพาะประเด็นปัญหาเรื่องน้ำท่วม เชียงรายเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่
ในขณะที่หากมีการสร้างเขื่อนปากแบงกั้นลำน้ำโขง ก็ยิ่งจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายมากขึ้นไปอีก เนื่องด้วยในรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ประเมินระดับ*น้ำเท้อในสถานการณ์ปกติไว้ที่ 340 ม.รทก. เท่านั้น ในขณะที่ในปีที่ผ่านมา ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ระดับน้ำสูงถึง 357 ม.รทก. ไปแล้ว แม้จะยังไม่มีเขื่อนปากแบงก็ตาม ซึ่งหากมีการสร้างเขื่อนปากแบง ก็จะยิ่งทำให้น้ำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดอุทกภัยไม่สามารถไหลตามธรรมชาติลงสู่แม่น้ำโขงได้ เนื่องด้วยมีเขื่อนปากแบงคอยกั้นไว้ ระดับน้ำเท้อที่จะเอ่อล้นเข้ามาก็จะยิ่งกินพื้นที่มากขึ้นและสูงไปกว่าที่ประเมินไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเสียอีก
*น้ำเท้อ คือ น้ำที่ยกตัวสูงขึ้นกว่าระดับผิวน้ำปกติย้อนขึ้นไปทางด้านเหนือน้ำ. เนื่องจากมีสิ่งกีดขวางลำน้ำ เช่น เขื่อน ฝาย

หากมีการสร้างเขื่อนปากแบง พื้นที่ไหนบ้างจะได้รับผลกระทบ
จากการประเมินผลกระทบข้ามพรมแดนของโครงการ ซึ่งจัดทำโดยบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) พบว่าหมู่บ้านทั้งหมด 26 แห่งตามแนวชายแดนไทย-ลาว ครอบคลุม 923 หลังคาเรือนและ 4,726 คน หากใช้ระดับน้ำที่ 340 ม.รทก. จะทำให้น้ำจากแม่น้ำโขงเท้าเข้าสู่แม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำอิง หรือแม่น้ำงาว ประมาณ 24 กิโลเมตร โดยยังไม่รวมระดับน้ำเท้อ ซึ่งจะส่งผลให้ชุมชนไม่สามารถใช้ที่ดินริมฝั่งน้ำสาขาทำการเกษตรได้
โดยจากรายงานการประเมินผลกระทบข้ามแดน (TbEIA) ซึ่งจัดทำโดยบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) เรื่องผลกระทบจากรำดับน้ำเท้อต่อประเทศไทย มีการทำข้อมูลคาดกาารณ์ระดับน้ำกรณีไม่มีเขื่อนปากแบง และกรณีมีเขื่อนปากแบงใน 7 หมู่บ้าน ที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่เสี่ยง ซึ่งก็คือ ดอนมหาวัน ปากอิงใต้ ปากอิง ห้วยเอียน แจมป๋อง ไทยเจริญ ห้วยลึก โดยหมู่บ้านเหล่านี้อยู่ในตำบลเวียง ศรีดอนชัย หล่ายงาว และม่วงยาย กระจายตัวใน 2 อำเภอก็คือ เชียงของ และเวียงแก่น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ผลกระทบทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนปากแบง ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องน้ำเท้อที่อาจจะทำให้พื้นที่การเกษตรริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น่ำสาขาในประเทศไทยเสียหายเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องสารหนูจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในประเทศเมียนมาที่ไหลมาตามลำน้ำกก สาย และรวก ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 มีรายงานว่ากรมควบคุมมลพิษพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำโขงภาคอีสานตั้งแต่ จ.เลย-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม โดยที่จุดตรวจบริเวณดอนหมากกะทัน บ้านหนองจันทร์ ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม มีค่าสารหนูอยู่ที่ 0.016 มก./ล (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 0.01 มก./ล.) 2.จุดตรวจหลังวัดโพธาราม บ้านท่าไคร้ ต.บึงกาฬ อ.เมือง จ.บึงกาฬ พบสารหนู 0.019 มก./ล. 3.ต.หาดคำ อ.เมือง จ.หนองคาย พบสารหนู 0.017 มก./ล. และ 4.บริเวณแก่งคุดคู้ ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน จ.เลย พบสารหนู 0.013 มก./ล.
หากมีการสร้างเขื่อนปากแบง ซึ่งจะทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จากการที่เขื่อนกักเก็บน้ำไว้เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า น้ำจากแม่น้ำโขงที่เคยไหลก็จะหยุดนิ่ง สารพิษจากการทำเหมืองแร่แร์เอิร์ธที่ไหลมาพร้อมกับน้ำจากแม่น้ำกก สาย รวก และไหลลงสู่แม่น้ำโขงก็จะถูกกักไว้กลายเป็นอ่างสารพิษขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ใช้น้ำทั้งการอุปโภคบริโภค การเกษตรและการประมงในพื้นที่ตั้งแต่สบรวก (ตรงที่แม่น้ำรวกไหลลงแม่น้ำโขง) ไปจนถึงส่วนที่แม่น้ำโขงติดชายแดนไทยก่อนจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ประเทศลาว โดยจากการคำนวณพบว่าช่วงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านที่อาจจะเป็นพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบในกรณีนี้ กินพื้นที่ 8 ตำบล ซึ่งก็คือ ม่วงยาย หล่ายงาว ศรีดอนชัย เวียงเชียงของ ริมโขง แม่เงิน บ้านแซว-เชียงแสน และเวียงเชียงแสน อยู่ใน 3 อำเภอ คือ เวียงแก่น เชียงของ และเชียงแสน
ดังนั้นผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนปากแบง จึงไม่อาจจะพิจารณาจากข้อมูลในรายงานการประเมินผลกระทบข้ามแดน (TbEIA) ได้อีกต่อไป แต่ต้องพิจารณาประเด็นเรื่องสารพิษจากการทำเหมืองแร่แร์เอิร์ธร่วมด้วย เช่นเดียวกันกับพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ จึงไม่ใช่แค่เท่าที่ปรากฏในรายงานการประเมินผลกระทบข้ามแดน (TbEIA) แต่อาจจะต้องประเมินพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาในประเทศไทยทั้งหมดว่าได้จะได้รับผลบกระทบแค่ไหนอย่างไรบ้าง

พืชผลทางการเกษตรที่จะเสียหายทั้งจากน้ำเท้อและน้ำปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ
หากพิจารณาพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ 8 ตำบล ริมแม่น้ำโขง ซึ่งก็คือ ม่วงยาย หล่ายงาว ศรีดอนชัย เวียงเชียงของ ริมโขง แม่เงิน บ้านแซว-เชียงแสน และเวียงเชียงแสน ว่ามีการปลูกพืชเศรษฐกิจอะไรบ้าง จากข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าในเขต 8 ตำบลดังกล่าวมีการปลูกพืชเศรษฐกิจรวม 131,141.88 ไร่ โดยแบ่งเป็น
- ข้าว 58,493.85 ไร่ คิดเป็น 44.60%
- ข้าวโพด 41,174.49 ไร่ คิดเป็น 31.40%
- ยางพารา 20,241.28 ไร่ คิดเป็น 15.43%
- มันสำปะหลัง 3,460.70 ไร่ คิดเป็น 2.64%
- ลำไย 2,679.02 ไร่ คิดเป็น 2.04%
- เงาะ 1,993.73 ไร่ คิดเป็น 1.52%
- ปาล์มน้ำมัน 1,780.79 ไร่ คิดเป็น 1.36%
- สับปะรด 1,205.02 ไร่ คิดเป็น 0.92%
- มะพร้าว 62.98 ไร่ คิดเป็น 0.05%
- มังคุด 41.43 ไร่ คิดเป็น 0.03%
- กาแฟโรบัสต้า 15.90 ไร่ คิดเป็น 0.01%
ซึ่งพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ เมื่อนำมาคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจในแต่ละชนิด และข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นฐานในการคำนวณจำนวนผลผลิตที่เกิดขึ้น และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้เป็นตัวเลขในการคำนวณมูลค่าที่ได้จากการเพาะปลูกและขายพืชผลทางการเกษตร เพื่อหามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการทำการเกษตรในพื้นที่ 8 ตำบลดังกล่าว พบว่ามีมูลค่าสูงถึง 1,141,126,079 บาท/ปี โดยมูลค่าของการเกษตรของพืชแต่ละชนิด มีดังนี้
- ข้าว 443,297,561.6 บาท คิดเป็น 38.85%
- ยางพารา 319,622,360.8 คิดเป็น 28.01%
- ข้าวโพด 264,982,547.8 บาท คิดเป็น 23.22%
- สับปะรด 35,803,409.64 บาท คิดเป็น 3.14%
- มันสำปะหลัง 22,013,166.63 บาท คิดเป็น 1.93%
- ลำไย 20,906,080.84 บาท คิดเป็น 1.83%
- เงาะ 19,400,587.88 บาท คิดเป็น 1.70%
- ปาล์มน้ำมัน 12,879,385.6 บาท คิดเป็น 1.13%
- มะพร้าว 1,813,824 บาท คิดเป็น 0.16%
- มังคุด 232,688.69 บาท คิดเป็น 0.02%
- กาแฟโรบัสต้า 174,465.50 คิดเป็น 0.02%
ไม่เพียงแค่พืชเศรษฐกิจหลักตามการจัดประเภทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เท่านั้น แต่จังหวัดเชียงรายยังเป็นพื้นที่ปลูกส้มโอ ซึ่งถือเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้กับพื้นที่อย่างมากอีกด้วย ปัจจุบันเชียงรายมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 10,052 ไร่ มีผลผลิตปีละไม่น้อยกว่า 16,000 ตัน โดยส้มโอเวียงแก่น เป็นพืชผลทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงและรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี โดยได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ขนาด รสชาติ การปลอดสารพิษ จนผ่านกระบวนการ Global GAP จนสามารถส่งออกไปขายยังประเทศยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส รวมถึงประเทศในทวีปเอเชีย เช่น ประเทศจีน เป็นต้น
ในขณะที่ ตำบลม่วงยาย และตำบลหล่ายงาว เป็นพื้นที่ปลูกส้มโอที่สำคัญของอำเภอเวียงแก่น โดยในตำบลม่วงยาย มีพื้นที่ปลูกส้มโอ 4,183 ไร่และตำบลหล่ายงาว มีพื้นที่ปลูกส้มโอ 3,501 ไร่ โดยในแต่ละปีจะมีปริมาณส้มโอออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งส้มโอส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ทองดี พันธุ์ขาวใหญ่ เป็นหลัก ผลผลิตส่วนใหญ่มีการจำหน่ายไปยังต่างประเทศ เช่นประเทศจีน เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น ส่วนที่เหลือก็จำหน่ายภายในประเทศ
โดยในช่วงน้ำท่วมในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีสวนส้มโอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเท้อที่ท่วมเข้ามาในพื้นที่สวนส้มโอจนทำให้ต้นส้มโอยืนต้นแห้งตายกว่า 28 ครัวเรือน ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลว่าหากมีการสร้างเขื่อนปากแบงจะยิ่งซ้ำเติมปัญหานี้หรือไม่ และจะทำให้พื้นที่สวนส้มโอขะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นอีกหรือไม่
ไม่ใช่แค่การเกษตร แต่ประมงก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่ากัน
จากข้อมูลสภาพทั่วไปและขอมูลพื้นฐานของพื้นที่ตำบลต่างๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำโขงที่อาจได้รับผลกระทบ พบว่านอกจากเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่แล้ว ยังมีการทําการประมงตามแหล่งน้ําธรรมชาติที่สําคัญ คือ แม่น้ำโขง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประมงตามธรรมชาติ และการเลี้ยงปลาในกระชังตามริมลําน้ำโขง
สัตว์น้ำจืดที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติของ อ.เชียงของ ส่วนมากจะเป็นปลานิล 79,360 กิโลกรัม/ปี ปลาตะเพียน 71,940 กิโลกรัม/ปี นอกจากนั้นยังมีปลาสร้อยขาว ปลาดุก ปลาช่อน ปลาไน ปลาหมอ ปลาสลิด อีกด้วย ส่วน อ.เชียงแสน ส่วนใหญ่ก็จะเป็น ปลานิล 79,160 กิโลกรัม/ปี ปลาตะเพียน 58,550 กิโลกรัม/ปี ปลาสร้อยขาว 50,090 กิโลกรัม/ปี และ อ.เวียงแก่น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาสร้อยขาว 25,950 กิโลกรัม/ปี ปลาตะเพียน 25,860 กิโลกรัม/ปี ปลานิล 20,820 กิโลกรัม/ปี นอกจากนั้นทั้งสองอำเภอมีการจับปลาอื่นๆ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลาไน ปลาหมอ ปลาสลิด เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผลผลิตสัตว์น้ำที่สำคัญในจังหวัดเชียงราย ส่วนมากจะเป็นปลานิลและปลาดุก ซึ่งมีการเลี้ยงกันในทุกอำเภอ ในส่วนของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด จะพบว่า อ.เชียงของ มีการเพาะเลี้ยงปลา 2,015 ครัวเรือน 3,519 บ่อ มีปริมาณการจับไปขาย 912,224 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 45,611,200 บาท/ปี อ.เชียงแสน มีการเพาะเลี้ยงปลา 1,814 ครัวเรือน 2,913 บ่อ มีปริมาณการจับไปขาย 4,119,300 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 218,322,900 บาท/ปี และอ.เวียงแก่น มีการเพาะเลี้ยงปลา 423 ครัวเรือน 743 บ่อ มีปริมาณการจับไปขาย 123,510 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่า 6,175,500 บาท/ปี
โดยหากจะพิจารณาในระดับพื้นที่ตำบล จะพบว่า ต.เวียงเชียงแสน ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 90 แห่ง ต. หล่ายงาว 145 แห่ง ต.ริมโขง 80 แห่ง ต.บ้านแซว 206 แห่ง ต.เวียงเชียงของ 89 แห่ง และ ต.แม่เงิน 129 แห่ง โดยในพื้นที่ตำบลเหล่านี้ ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำส่วนใหญ่จะอยู่ริมแม่น้ำโขง ในขณะที่ ต.ศรีดอนชัย ซึ่งมีฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 507 แห่ง และ ต.ม่วงยาย 15 แห่ง ฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จะอยู่ไกลออกจากริมแม่น้ำโขงมากกว่า
ดังนั้นการจะสร้างเขื่อนปากแบง จะทำให้สารพิษจากการทำเหมืองแร่แร์เอิร์ธที่ไหลมาพร้อมกับน้ำจากแม่น้ำกก สาย รวก และไหลลงสู่แม่น้ำโขงก็จะถูกกักไว้กลายเป็นอ่างสารพิษขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อไปยังสัตว์น้ำในแม่น้ำโขง ที่เป็นแหล่งอาหารและอาชีพของประชาชน ทั้งพื้นที่ริมแม่น้ำโขงและพื้นที่ที่มีการส่งออกปลาที่จับได้ไปขาย ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีหนทางการแก้ไขที่มีประสิทธิภาพจนน่าเป็นห่วงว่าหากเขื่อนปากแบงถูกสร้างขึ้นจริง สถานการณ์อาจจะยิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าที่เกิดขึ้นในแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขงในตอนนี้
อ้างอิง
- รายงานการประเมินผลกระทบข้ามแดน (TbEIA) โดยบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
- สรุปข้อมูลเบื้องต้นโครงการเขื่อนปากแบงและการวิเคราะห์ผลกระทบข้ามพรมแดนต่อประเทศไทย โดยเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ และกลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง
- ข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ ข้อมูลผลผลิตต่อไร่จากฐานข้อมูลการผลิตสินค้าเกษตร และข้อมูลราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้ ณ ไร่นา ในปี 2567 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- ฐานข้อมูลประมง จ. เชียงราย โดยกรมประมง จ.เชียงราย
บทความยอดนิยม




