สถาบันการเงิน/ธนาคาร กับการปล่อยกู้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ

ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้

สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน

แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่ 

สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง

โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า

  1. โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรและกรุงศรีอยุธยา 9,960 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้ธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ Calyon, Bank of Tokyo Mitsubishi UFJ, Fortis, KBC, KfW, Standard Chartered Bank และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation
  2. โรงไฟฟ้าราชบุี เพาเวอร์ ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพและกรุงไทย *21,770 ล้านบาท
  3. โรงไฟฟ้าแก่งคอย ได้รับเงินกู้จากธนาคารทหารไทยและไทยพาณิชย์ 22,552 ล้านบาท
  4. โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 4,050 ล้านบาท
  5. โรงไฟฟ้าบางปะอินโคเจนเนอเรชั่น ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงไทย 4,110 ล้านบาท
  6. โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 และ 2 ได้รับเงินกู้จากธนาคารได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 7,900 ล้านบาท
  7. โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เจพี เอ็นเอส ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและไทยพาณิชย์ 37,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีการกู้เงินจากธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ ธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต จำกัด (MIZUHO CORPORATE BANK) ร่วมกันเป็น Lead Arrangers ร่วมกับ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB)
  8. โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เจพี ยูที ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 39,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้เงินจากธนาคารต่างประเทศร่วมด้วย คือ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (BTMU) และธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (SMBC)
  9. โรงไฟฟ้าขนอม ได้รับเงินกู้จากธนาคารได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 1,361 ล้านบาท
  10. โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพ 4,000 ล้านบาท
  11. โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เอสอาร์ซี ได้รับเงินกู้จากธนาคาร กรุงเทพ ทหารไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซีไอเอ็มบี ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รวมไปถึงธนาคารต่างประเทศคือ Industrial & Commercial Bank of China Ltd.,Mizuho Bank Ltd,Sumitomo Mitsui Trust Bank Ltd,Asian Development Bank,Japan Bank For International Cooperation ในรูปแบบ Syndicated Loan จำนวน 38,000 ล้านบาท
  12. โรงไฟฟ้ากัลฟ์ พีดี ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา กรุงไทย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ซีไอเอ็มบี ออมสิน รวมไปถึงธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ ADB, Leading Asias Private Infrastructure Fund, DZ Bank, Oversea-Chinese Banking Corp Ltd.,Industrial & Commercial Bank of China Ltd,Mizuho Bank Ltd,Sumitomo Mitsui Banking Corp, Japan Bank For International Cooperation ในรูปแบบ Syndicated Loan จำนวน 41,000 ล้านบาท
  13. โรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจน (ส่วนขยาย) ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพ ออมสิน และและธนาคารไอซีบีซี 2,700 ล้านบาท
  14. โรงไฟฟ้าหินกอง ได้รับเงินกู้จากธนาคาร กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ออมสิน Sumitomo Mitsui Trust Bank Thailand, SUMITOMO MITSUI BANKING CORPORATION Thailand *26,192 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้ธนาคารต่างประเทศร่วมด้วย คือ Bank of China, ICBC, Mizuho, SMTB Singapore, Natixis, Societe Generale, Standard Chartered, OCBC

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยจากเฉพาะข้อมูลที่รวบรวมมาจะเห็นว่า ธนาคารกรุงเทพ เป็นธนาคารที่มีการปล่อยกู้ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซมากที่สุดถึง 10 โครงการ รองลงมาก็คือธนาคารกสิกรไทย 8 โครงการ ธนาคารไทยพาณิชย์ 6 โครงการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 โครงการ กรุงไทย ออมสิน และแลนด์แอนด์เฮาส์ เท่ากันที่ 3 โครงการ

สถาบันการเงิน/ธนาคารไหน จะให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์

โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วมตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ มีผู้ถือหุ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 35% ดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่จะขายไฟเข้าสู่ระบบ 540 เมกะวัตต์ และได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2562 โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และในแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 กำหนดให้โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2570

ปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารไหน จะเป็นผู้ให้เงินกู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ แต่หากพิจารณาการให้เงินกู้ในโครงการที่ผ่านมาแก่โรงไฟฟ้าที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นเจ้าของโครงการหรือมีหุ้นในโครงการนั้นๆ ซึ่งบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดเองก็มีหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 35% จะพบว่าที่ผ่านมาธนาคารที่มักจะให้กู้เงินแก่โครงการของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดคือ ธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังพบว่าในโครงการช่วงหลังของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ยังมีธนาคารธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารซีไอเอ็มบี ร่วมให้กู้อีกด้วย รวมไปถึงสถาบันการเงิน/ธนาคารต่างประเทศอย่าง Japan Bank For International Cooperation และ ADB

ถ้าสถาบันการเงิน/ธนาคาร ให้กู้ในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล จะผิดหลักการอะไรไหม?

การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะให้เงินกู้ในโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม หนึ่งในหลักการการประเมินว่าจะให้เงินกู้ หรือไม่ให้เงินกู้ก็คือ หลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles: EPs) ซึ่งเป็นกรอบบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน ที่เป็นแนวทางระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมสำหรับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ออกโดยสมาคมอีเควเตอร์ (The Equator Principles Association: EP) สถาบันการเงินที่ลงนามต้องนำหลักการทั้ง 10 ประการ บูรณาการเข้ากับกระบวนการกลั่นกรองสินเชื่อของธนาคาร จากการเผยแพร่อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อ 4 มิถุนายน 2546 ด้วยกรอบที่จัดทำโดยบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) มีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง จนถึงปี 2563 เป็นหลักการอีเควเตอร์ 4 ซึ่งจนถึงปี 2566 มีสถาบันการเงินเป็นสมาชิก 138 แห่ง 38 ประเทศทั่วโลก

หลักการอีเควเตอร์ 10 ประการ ประกอบด้วย

  1. ตรวจสอบและแยกประเภท (Review and Categorisation) การจัดประเภทโครงการว่าเป็นความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำขึ้นอยู่กับระดับผลกระทบและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งอ้างอิงจากแนวปฏิบัติของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)
  2. การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Assessment) โครงการต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความเสี่ยงจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย
  3. ความสอดคล้องของมาตรฐานสังคมและสิ่งแวดล้อม (Applicable Environmental and Social Standards) ในการประเมินจะเป็นการพิจารณาว่า ระดับเบื้องต้นที่สุดสอดคล้องกับกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือสังคมในประเทศหรือไม่
  4. แผนปฏิบัติการตามหลักอีเควเตอร์ และระบบจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Management System and Equator Principles Action Plan) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีแผนปฏิบัติการในการจัดการกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
  5. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Engagement) โครงการที่ขอกู้จะต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีประสิทธิภาพเป็น กระบวนการที่ต่อเนื่อง มีโครงสร้าง และเหมาะสมทางวัฒนธรรม โดยต้องมีส่วนร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ (Affected Communities) พนักงาน (Workers) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ (Other Stakeholders) ที่เกี่ยวข้อง โครงการที่ขอกู้จะต้องดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมโดยมีข้อมูล (Informed Consultation and Participation) กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยกระบวนการนี้ต้องปราศจากการชักจูงจากภายนอก การแทรกแซง การข่มขู่ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และผลกระทบควรมีขึ้นโดยเร็วก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
  6. กลไกเยียวยา (Grievance Mechanism) โครงการที่ขอกู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางและสูง จะต้องจัดตั้งกลไกเยียวยาที่เหมาะสมสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
  7. การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ (Independent Review) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีองค์กรอิสระที่มีเชี่ยวชาญด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นผู้ประเมินผลกระทบของโครงการให้สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
  8. สัญญาหรือข้อตกลง (Covenants) โครงการที่ขอกู้จะต้องให้คำมั่นในเอกสารการเงินว่าจะปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของประเทศ และจะต้องจัดทำรายงานต่อสาธารณะเป็นประจำ หากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ สถาบันการเงินมีสามารถยกเลิกสัญญาได้
  9. ติดตามและรายงานโดยองค์กรอิสระ (Independent Monitoring and Reporting) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดให้มีการติดตามและรายงานโดยที่ปรึกษาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอิสระ เพื่อตรวจสอบว่าตลอดระยะเวลาของโครงการเป็นไปตามหลักการอีเควเตอร์หรือไม่
  10. การรายงานและความโปร่งใส (Reporting and Transparency) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดทำและเผยแพร่รายงานที่เข้าถึงได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งบทสรุปความเสี่ยงและผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง

จนถึงปี 2568 สถาบันการเงินของไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์แห่งแรกและแห่งเดียวคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ผลการดำเนินงานในปี 2567 ธนาคารระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 จนถึง 2567 ได้พิจารณาสินเชื่อตามหลักอีเควเตอร์แล้ว 89 โครงการ

ส่วนธนาคารอื่นๆ ที่ระบุว่า ตนเองนำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการขอสินเชื่อของโครงการ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของอีเควเตอร์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพระบุว่า “ธนาคารให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐานได้นำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อโครงการ” โดยมีการจัดประเภทคำขอสินเชื่อโครงการตามระดับความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สูง ปานกลาง และต่ำ ตามหลักการอีเควเตอร์ หากจัดอยู่ในกลุ่มสูงและปานกลาง จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมทำการทบทวนการประเมินความเสี่ยง ส่วนธนาคารกสิกรไทย มีแนวปฏิบัติในการพิจารณาสินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ ที่ระบุว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามหลักการอีเควเตอร์ และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ

จากข้อมูลจะเห็นว่า แม้ธนาคารไทยพาณิชย์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์ และพิจารณาสินเชื่อตามหลักอีเควเตอร์ ซึ่งเป็นการให้แนวปฏิบัติในการประเมินและเรียกร้องให้มีกลไกมารองรับหากมีการให้กู้เงินในโครงการที่มีความเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งในระยะเวลาก่อนที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะรับหลักการอีเควเตอร์ในปี 2565 ธนาคารไทยพาณิชย์ก็เพิ่งจะปล่อยกู้ในโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง รวมไปถึงโครงการเขื่อนหลวงพระบางไปไม่นาน

เช่นเดียวกันกับธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทย ที่แม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์ แต่ระบุว่า ธนาคารจะนำหลักการไปประยุกต์ใช้ ซึ่งแม้จะมีการระบุว่า ธนาคารกรุงเทพจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า ส่วนธนาคารกสิกรไทยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อน แต่จะเห็นได้ว่าธนาคารกรุงเทพก็ยังให้กู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจน (ส่วนขยาย) และโรงไฟฟ้าหินกองและอาจจะต้องจับตาในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทราด้วยว่า ธนาคารกรุงเทพจะเป็นผู้ให้กู้หรือไม่ ในส่วนธนาคารกสิกรไทยก็อาจจะต้องจับตาในโครงการเขื่อนที่กำลังจะก่อสร้าง ทั้งปากแบง เซกอง 4A4B หรือมีแนวโน้มว่าจะสร้างอย่างสานะคาม หรือพูงอย

Thailand Taxonomy หลักการในระดับประเทศ แต่ไม่มีสภาพบังคับ

ธปท. ออกมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Taxonomy) ในปี 2566 ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตามระดับการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเป็นหลักการเชิงสมัครใจสำหรับนักลงทุนหรือบริษัทจัดสรรเงินทุนนำไปใช้อ้างอิงด้วยกรอบที่ชัดเจน การประกาศใช้ระยะที่ 1 เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 เริ่มจากภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ และระยะที่ 2 ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ครอบคลุมภาคส่วนอื่น ๆ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการของเสีย

ใน Thailand Taxonomy แบ่งการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
สีเขียว สีเหลือง และสีแดง

  1. สีเขียว คือ กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใกล้เคียงศูนย์ (Near zero activities) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม
  2. สีเหลือง คือ กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างมาก แต่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างมีนัยสำคัญภายใต้กรอบเวลาสิ้นสุดในปี 2040 หรือ สนับสนุนกิจกรรมสีเขียวอื่นๆ แม้ตัวกิจกรรมเองจะไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ตาม ทั้งนี้กิจกรรมสีเหลืองอาจมีเกณฑ์การพิจารณาที่ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ เช่น ในภาคพลังงาน จะต้องดำเนินการเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนให้ไว เพื่อให้ถือว่าเป็นกิจกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านได้ จึงจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านได้
  3. สีแดง คือ กิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และไม่สามารถปรับให้สอดคล้องได้ ไม่ว่าจะเวลาใด กิจกรรมสีแดงควรจะต้องทยอยยุติลง (phased out) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน) หากประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส

นอกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว กิจกรรมที่สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy จะต้องผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามหลักการ ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสําคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) และการคํานึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) องค์กรจะต้องผ่านการประเมินการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวของของไทย หรือกฎหมายของประเทศที่กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น

การดําเนินงานตาม Taxonomy จะต้องมีส่วนในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1 ด้าน จากทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Change Mitigation) 2) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) 3) การใช้น้ำอย่างยั่งยืนและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ 4) การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 5) การป้องกันและควบคุมมลพิษ และ 6) การรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมบูรณ์

ทั้งนี้กิจกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้านอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) นอกจากนี้ กิจกรรมต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) ในมิติต่างๆ ตามมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน ตามมาตรฐานสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และมาตรฐานการดําเนินงานของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)

ในภาคพลังงาน Taxonomy กำหนดเงื่อนไขและตัวชี้วัดสําหรับการประเมินรายกิจกรรมในภาคพลังงานไว้ว่า

  • กิจกรรมการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทั้งหมดจัดเป็นกิจกรรมสีเขียว
  • พลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังนํ้าที่ดําเนินการก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 จะจัดเป็นกิจกรรมสีเขียวหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ความหนาแน่นของกําลังไฟฟ้ามากกว่า 5W/m2 หรือความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 100 gCO2eq/ kWh ตลอดวัฎจักรชีวิต ส่วนโครงการใหม่จะต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงระบบนิเวศเพื่อลดผลกระทบในเชิงลบต่อนํ้าและแหล่งที่อยูอาศัยที่ได้รับความคุ้มครอง (protected habitats) ของสัตว์และพืชซึ่งต้องพึ่งพานํ้าโดยตรง มีมาตรการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการอพยพของปลาที่ปลายนํ้าและต้นนํ้า มีมาตรการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ จะต้องมีการจัดทําการประเมินผลกระทบ (impact assessment) เพื่อพิจารณาวาการออกแบบและสถานที่ตั้ง และมาตรการลดผลกระทบต่าง ๆ
  • ก๊าซธรรมชาติ โครงการได้รับใบอนุญาตก่อสร้างหลังวันที่ 31 ธ.ค. 2566 จัดเป็นกิจกรรมสีแดง
  • โรงไฟฟ้าที่ผลิตความร้อนและไฟฟ้าร่วมกันโดยอาศัยแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิลและอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล) จัดเป็นกิจกรรมสีแดง

กิจกรรมที่จัดว่าเป็นสีแดงคือ การผลิตไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน นํ้ามัน ก๊าซ และอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงดังกล่าว รวมถึงไฮโดรเจนจากฟอสซิล แต่ไม่รวมถึงผลพลอยได้ เช่น ความร้อนทิ้ง ถือว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากข้อมูล แม้ Thailand Taxonomy จะเป็นเพียงแนวปฏิบัติ โดยไม่มีสภาพบังคับ แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ก็จะพบว่าอาจอยู่ในระดับสีแดง เพราะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และเป็นโครงการได้รับใบอนุญาตก่อสร้างหลังวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ซึ่งจะถูกจัดเป็นสีแดง อันหมายความว่าเป็นกิจกรรมที่ควรจะต้องทยอยยุติลง (phased out) หากประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส

ดังนั้นสถาบันการเงิน/ธนาคาร ที่จะให้เงินกู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ อาจจะเป็นกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับกับหลักการ Thailand Taxonomy ซึ่งอาจจะตีความได้ว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารนั้นกำลังส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมในกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทุกธนาคารประกาศ นโยบาย ESG แต่การให้กู้เงินในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซถือว่าเป็นการละเมิดนโยบาย ESG หรือไม่?

ตั้งแต่ สิงหาคม 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารพาณิชย์ 15 แห่ง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือธนาคารทุกแห่งมีนโยบายไม่สนับสนุนสินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ธนาคารไทยพาณิชย์ มีแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาให้สินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะสำหรับโรงไฟฟ้าในปี 2561 ว่า ธนาคารจะไม่กิจกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงถ่านหิน ส่วนการสร้างเขื่อนถูกระบุว่า มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สำคัญ ต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบดังนี้ มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อพันธ์ุพืชและสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำ มีการจัดเตรียมแผนการโยกย้ายถิ่นฐานสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และมีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและนำเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ธนาคารจะให้การสนับสนุน โครงการที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เป็นไปตามแนวปฏิบัติดังนี้ มลพิษทางอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ โดยต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้วยการใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์ในการประเมินผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ การนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุด (Best Available Control Technology: BACT) มาใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและแนวทางการแก้ปัญหา

ธนาคารกสิกรไทย ระบุประเภทเครดิตที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามแนวทาง Equator Principles และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยที่ไม่มีเทคโนโลยีเพื่อลดค่าเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญร่วมด้วย

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในนโยบายเพื่อการให้สินเชื่ออย่างยั่งยืนระบุว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโรงไฟฟ้าชีวมวล จัดอยู่ในกลุ่มธุรกรรมพึงระมัดระวัง (High Caution Transaction) ที่การให้สินเชื่อต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และ ควรพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้าที่มีมาตรการด้าน ESG ที่เหมาะสม โดยจะอนุมัติสินเชื่อให้ธุรกรรมที่มีการลดทอนความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับที่ธนาคารยอมรับได้ ธนาคารจะประเมินการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของลูกค้า ในกรณี Project Finance ต้องผ่านการตรวจสอบ (due diligence) โดยบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระจากธุรกรรม

ธนาคารทหารไทย มีนโยบายเฝ้าระวังผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากกิจกรรมหรือธุรกิจเฉพาะว่า ในการผลิตไฟฟ้า ลูกค้าต้องดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในระดับท้องถิ่น และยังส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้มาตรฐานและกรอบการดำเนินงานที่ยอมรับได้ในระดับท้องถิ่น/สากล (เช่น the International Hydropower Association, World Commission on Dams เป็นต้น ลูกค้าต้องแสดงหลักฐานการ
ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่าให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ว่าจะมีการพิจารณาความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการอย่างรอบด้าน แต่ไม่ระบุมาตรการเฉพาะเจาะจง

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แม้หลักการ ESG ที่ธนาคารต่างๆ ประกาศไว้จะไม่ได้กล่าวถึงการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโดยตรง ว่าเป็นโครงการที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในส่วนของ E -Environmental (สิ่งแวดล้อม) ที่จะต้องพิจารณาผลกระทบของบริษัทต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น การจัดการมลภาวะ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีเพียงธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้นที่กล่าวถึงในส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ว่าธนาคารจะให้การสนับสนุน โครงการที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เป็นไปตามแนวปฏิบัติ ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผา นอกจากจะก่อให้เกิดเรือนกระจกแล้ว ยังทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อีกด้วย ซึ่งทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5

ดังนั้นแม้โดยเนื้อหาของหลักการ ESG ที่ธนาคารต่างๆ ประกาศ จะยังไม่ได้ครอบคลุมการไม่สนับสนุนสินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ แต่โดยข้อเท็จจริงนั้นการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ เท่ากับว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซอื่นๆ ที่เป็นมลพิษและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สถาบันการเงิน/ธนาคารจึงควรหยุดการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ เพื่อดำเนินธุรกิจตามแนวงทางความยั่งยืนอย่างแท้จริง

บทความยอดนิยม

เงิน Claw Back คืออะไร? มีบทบาทอย่างไรในการลดค่าไฟฟ้า รัฐบาลจะเอาเงิน Claw Back มาลดค่าไฟไปได้อีกนานเท่าไหร่
ทำไม 'โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว' ในร่าง PDP2024 ถึงไม่จำเป็น

พีรยา พูลหิรัญ และธัญญาภรณ์ สุรภักดีโครงการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทย (JET in Thailand) ‘การรับมือกับวิกฤติโลกเดือด’ เป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการรั้งอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสานตอนเหนือในช่วงเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแถบจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำโขง ซึ่งปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงจากทั้งพายุ ฝนตกหนักและการที่เขื่อนในแม่น้ำโขงปล่อยน้ำ ทำให้แม่น้ำสาขาในแต่ละจังหวัดไม่สามารถระบายน้ำลงแม่น้ำโขง จนเกิดการเอ่อล้นและท่วมในหลายพื้นที่ ในขณะเดียวกันภายใต้กรอบ MOU

BloombergNEF (BNEF) ซึ่งเป็นหน่วยวิจัยเชิงกลยุทธ์ชั้นนำที่ครอบคลุมทั้งประเด็นเรื่องพลังงานสะอาด การขนส่งขั้นสูง อุตสาหกรรมดิจิทัล ผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม ภายใต้บริษัท Bloomberg L.P. ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความไม่จำเป็นของโครงการเขื่อนปากแบง

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันไว้แล้วกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือ โครงการเขื่อนปากแบง ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำตั้งอยู่บริเวณตอนบนของแม่น้ำโขง ทางเหนือของเมืองปากแบง แขวงอุดมไชย ทางตอนเหนือของประเทศ สปป.ลาว และห่างจากชายแดนไทย-ลาว ผาได 96 กม. มีกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์  โดยเป็นการร่วมทุนกันระหว่าง บริษัทไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ 51% และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) 49% มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยจะขายไฟให้แก่ประเทศไทย 897 เมกะวัตต์ ในราคาหน่วยละ 2.7129 บาท ซึ่งเซ็นสัญญาไปเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดขายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2576  […]

ความไม่จำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ

แคมเปญ #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ #หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา

ตามรอยประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Shine : โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงคือโครงการอะไร แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวยังไงกับการสร้างโรงไฟฟ้า 

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine