
ในการจะขอใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการจะต้องยื่นเอกสารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เอกสารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อแสดงว่าที่ดินแปลงที่จะก่อสร้างสถานประกอบกิจการไม่ต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง ใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฯลฯ รวมไปถึง หนังสืออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน หรือหนังสือสนับสนุนทางการเงินอื่นๆ เพื่อเป็นการการันตีว่าจะสามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้สำเร็จได้
สถาบันการเงิน/ธนาคาร จึงเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยหากโครงการนั้นไม่ได้รับเงินกู้ ก็อาจจะทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ ดังจะเห็นได้จากกรณีล่าสุดของเขื่อนน้ำงึม 3 ที่ประเทศลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟกับประเทศไทยกำลังการผลิตตามสัญญา 468.78 เมกะวัตต์ สัมปทาน 27 ปี กำหนดวันจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2569 แต่ กพช. เพิ่งจะมีมติให้ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 เนื่องจากโครงการมีปัญหาด้านสินเชื่อ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ตามแผน
แต่การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะปล่อยกู้ให้แก่โครงการโรงไฟฟ้าใดนั้น นอกจากความน่าเชื่อถือของโครงการ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของโครงการ การการันตีผลประกอบการหรือผลกำไรของโครงการแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหลักการต่างๆ ของการให้เงินกู้ของสถาบันการเงิน/ธนาคารในโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ว่าการให้กู้เงินในโครงการนั้นๆ ละเมิดหลักการของสถาบันการเงิน/ธนาคารที่เคยให้ไว้หรือไม่

สถาบันการเงิน/ธนาคาร เคยให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโรงไหนบ้าง
โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จ่ายไฟเข้าระบบแล้ว มีหลายโครงการที่ได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคารไทยมากกว่า 1 ธนาคาร โดยจากการรวบรวมข้อมูลของ JustPow พบว่า
- โรงไฟฟ้าโกลว์ ไอพีพี ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรและกรุงศรีอยุธยา 9,960 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้ธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ Calyon, Bank of Tokyo Mitsubishi UFJ, Fortis, KBC, KfW, Standard Chartered Bank และ Sumitomo Mitsui Banking Corporation
- โรงไฟฟ้าราชบุี เพาเวอร์ ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพและกรุงไทย *21,770 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าแก่งคอย ได้รับเงินกู้จากธนาคารทหารไทยและไทยพาณิชย์ 22,552 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 3 ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 4,050 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าบางปะอินโคเจนเนอเรชั่น ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงไทย 4,110 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 และ 2 ได้รับเงินกู้จากธนาคารได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 7,900 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เจพี เอ็นเอส ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและไทยพาณิชย์ 37,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีการกู้เงินจากธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ ธนาคารมิซูโฮ คอร์ปอเรต จำกัด (MIZUHO CORPORATE BANK) ร่วมกันเป็น Lead Arrangers ร่วมกับ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB)
- โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เจพี ยูที ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 39,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้เงินจากธนาคารต่างประเทศร่วมด้วย คือ ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (BTMU) และธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (SMBC)
- โรงไฟฟ้าขนอม ได้รับเงินกู้จากธนาคารได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทยและกรุงเทพ 1,361 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพ 4,000 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้ากัลฟ์ เอสอาร์ซี ได้รับเงินกู้จากธนาคาร กรุงเทพ ทหารไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซีไอเอ็มบี ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย รวมไปถึงธนาคารต่างประเทศคือ Industrial & Commercial Bank of China Ltd.,Mizuho Bank Ltd,Sumitomo Mitsui Trust Bank Ltd,Asian Development Bank,Japan Bank For International Cooperation ในรูปแบบ Syndicated Loan จำนวน 38,000 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้ากัลฟ์ พีดี ได้รับเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา กรุงไทย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ซีไอเอ็มบี ออมสิน รวมไปถึงธนาคารต่างประเทศร่วมด้วยคือ ADB, Leading Asias Private Infrastructure Fund, DZ Bank, Oversea-Chinese Banking Corp Ltd.,Industrial & Commercial Bank of China Ltd,Mizuho Bank Ltd,Sumitomo Mitsui Banking Corp, Japan Bank For International Cooperation ในรูปแบบ Syndicated Loan จำนวน 41,000 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจน (ส่วนขยาย) ได้รับเงินกู้จากธนาคารกรุงเทพ ออมสิน และและธนาคารไอซีบีซี 2,700 ล้านบาท
- โรงไฟฟ้าหินกอง ได้รับเงินกู้จากธนาคาร กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา ออมสิน Sumitomo Mitsui Trust Bank Thailand, SUMITOMO MITSUI BANKING CORPORATION Thailand *26,192 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการกู้ธนาคารต่างประเทศร่วมด้วย คือ Bank of China, ICBC, Mizuho, SMTB Singapore, Natixis, Societe Generale, Standard Chartered, OCBC
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า โรงไฟฟ้าก๊าซทั้ง โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ล้วนได้รับเงินกู้จากสถาบันการเงิน/ธนาคาร เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยจากเฉพาะข้อมูลที่รวบรวมมาจะเห็นว่า ธนาคารกรุงเทพ เป็นธนาคารที่มีการปล่อยกู้ให้กับโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซมากที่สุดถึง 10 โครงการ รองลงมาก็คือธนาคารกสิกรไทย 8 โครงการ ธนาคารไทยพาณิชย์ 6 โครงการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4 โครงการ กรุงไทย ออมสิน และแลนด์แอนด์เฮาส์ เท่ากันที่ 3 โครงการ

สถาบันการเงิน/ธนาคารไหน จะให้กู้โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์
โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วมตั้งอยู่ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีบริษัท บูรพา พาวเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด เป็นเจ้าของโครงการ มีผู้ถือหุ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 65% และบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นสัดส่วน 35% ดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement: PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 โดยมีกำลังการผลิตตามสัญญาที่จะขายไฟเข้าสู่ระบบ 540 เมกะวัตต์ และได้เซ็นสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นเวลา 25 ปี เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2562 โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2568 และในแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 กำหนดให้โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในปี 2570
ปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารไหน จะเป็นผู้ให้เงินกู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ แต่หากพิจารณาการให้เงินกู้ในโครงการที่ผ่านมาแก่โรงไฟฟ้าที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เป็นเจ้าของโครงการหรือมีหุ้นในโครงการนั้นๆ ซึ่งบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดเองก็มีหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ 35% จะพบว่าที่ผ่านมาธนาคารที่มักจะให้กู้เงินแก่โครงการของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดคือ ธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ ไทยพาณิชย์ และกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังพบว่าในโครงการช่วงหลังของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ยังมีธนาคารธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารซีไอเอ็มบี ร่วมให้กู้อีกด้วย รวมไปถึงสถาบันการเงิน/ธนาคารต่างประเทศอย่าง Japan Bank For International Cooperation และ ADB
ถ้าสถาบันการเงิน/ธนาคาร ให้กู้ในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล จะผิดหลักการอะไรไหม?
การที่สถาบันการเงิน/ธนาคาร จะให้เงินกู้ในโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม หนึ่งในหลักการการประเมินว่าจะให้เงินกู้ หรือไม่ให้เงินกู้ก็คือ หลักการอีเควเตอร์ (Equator Principles: EPs) ซึ่งเป็นกรอบบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน ที่เป็นแนวทางระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมสำหรับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ออกโดยสมาคมอีเควเตอร์ (The Equator Principles Association: EP) สถาบันการเงินที่ลงนามต้องนำหลักการทั้ง 10 ประการ บูรณาการเข้ากับกระบวนการกลั่นกรองสินเชื่อของธนาคาร จากการเผยแพร่อย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อ 4 มิถุนายน 2546 ด้วยกรอบที่จัดทำโดยบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (IFC) มีการปรับปรุงแก้ไขหลายครั้ง จนถึงปี 2563 เป็นหลักการอีเควเตอร์ 4 ซึ่งจนถึงปี 2566 มีสถาบันการเงินเป็นสมาชิก 138 แห่ง 38 ประเทศทั่วโลก
หลักการอีเควเตอร์ 10 ประการ ประกอบด้วย
- ตรวจสอบและแยกประเภท (Review and Categorisation) การจัดประเภทโครงการว่าเป็นความเสี่ยงสูง ปานกลาง และต่ำขึ้นอยู่กับระดับผลกระทบและความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งอ้างอิงจากแนวปฏิบัติของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)
- การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Assessment) โครงการต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและความเสี่ยงจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วย
- ความสอดคล้องของมาตรฐานสังคมและสิ่งแวดล้อม (Applicable Environmental and Social Standards) ในการประเมินจะเป็นการพิจารณาว่า ระดับเบื้องต้นที่สุดสอดคล้องกับกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมหรือสังคมในประเทศหรือไม่
- แผนปฏิบัติการตามหลักอีเควเตอร์ และระบบจัดการสิ่งแวดล้อมและสังคม (Environmental and Social Management System and Equator Principles Action Plan) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีแผนปฏิบัติการในการจัดการกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Engagement) โครงการที่ขอกู้จะต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีประสิทธิภาพเป็น กระบวนการที่ต่อเนื่อง มีโครงสร้าง และเหมาะสมทางวัฒนธรรม โดยต้องมีส่วนร่วมกับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ (Affected Communities) พนักงาน (Workers) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ (Other Stakeholders) ที่เกี่ยวข้อง โครงการที่ขอกู้จะต้องดำเนินกระบวนการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมโดยมีข้อมูล (Informed Consultation and Participation) กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยกระบวนการนี้ต้องปราศจากการชักจูงจากภายนอก การแทรกแซง การข่มขู่ นอกจากนี้ การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และผลกระทบควรมีขึ้นโดยเร็วก่อนเริ่มก่อสร้างโครงการและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
- กลไกเยียวยา (Grievance Mechanism) โครงการที่ขอกู้ที่มีความเสี่ยงปานกลางและสูง จะต้องจัดตั้งกลไกเยียวยาที่เหมาะสมสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
- การตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ (Independent Review) โครงการที่ขอกู้จะต้องมีองค์กรอิสระที่มีเชี่ยวชาญด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นผู้ประเมินผลกระทบของโครงการให้สอดคล้องกับหลักอีเควเตอร์
- สัญญาหรือข้อตกลง (Covenants) โครงการที่ขอกู้จะต้องให้คำมั่นในเอกสารการเงินว่าจะปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบ และใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของประเทศ และจะต้องจัดทำรายงานต่อสาธารณะเป็นประจำ หากไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ สถาบันการเงินมีสามารถยกเลิกสัญญาได้
- ติดตามและรายงานโดยองค์กรอิสระ (Independent Monitoring and Reporting) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดให้มีการติดตามและรายงานโดยที่ปรึกษาทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอิสระ เพื่อตรวจสอบว่าตลอดระยะเวลาของโครงการเป็นไปตามหลักการอีเควเตอร์หรือไม่
- การรายงานและความโปร่งใส (Reporting and Transparency) โครงการที่ขอกู้จะต้องจัดทำและเผยแพร่รายงานที่เข้าถึงได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งบทสรุปความเสี่ยงและผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
จนถึงปี 2568 สถาบันการเงินของไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์แห่งแรกและแห่งเดียวคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ผลการดำเนินงานในปี 2567 ธนาคารระบุว่า ตั้งแต่ปี 2565 จนถึง 2567 ได้พิจารณาสินเชื่อตามหลักอีเควเตอร์แล้ว 89 โครงการ
ส่วนธนาคารอื่นๆ ที่ระบุว่า ตนเองนำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการขอสินเชื่อของโครงการ แต่ไม่ได้เป็นสมาชิกของอีเควเตอร์ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพระบุว่า “ธนาคารให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐานได้นำหลักการอีเควเตอร์มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อโครงการ” โดยมีการจัดประเภทคำขอสินเชื่อโครงการตามระดับความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สูง ปานกลาง และต่ำ ตามหลักการอีเควเตอร์ หากจัดอยู่ในกลุ่มสูงและปานกลาง จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมทำการทบทวนการประเมินความเสี่ยง ส่วนธนาคารกสิกรไทย มีแนวปฏิบัติในการพิจารณาสินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ ที่ระบุว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามหลักการอีเควเตอร์ และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ
จากข้อมูลจะเห็นว่า แม้ธนาคารไทยพาณิชย์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์ และพิจารณาสินเชื่อตามหลักอีเควเตอร์ ซึ่งเป็นการให้แนวปฏิบัติในการประเมินและเรียกร้องให้มีกลไกมารองรับหากมีการให้กู้เงินในโครงการที่มีความเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งในระยะเวลาก่อนที่ธนาคารไทยพาณิชย์จะรับหลักการอีเควเตอร์ในปี 2565 ธนาคารไทยพาณิชย์ก็เพิ่งจะปล่อยกู้ในโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง รวมไปถึงโครงการเขื่อนหลวงพระบางไปไม่นาน
เช่นเดียวกันกับธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทย ที่แม้จะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมอีเควเตอร์ แต่ระบุว่า ธนาคารจะนำหลักการไปประยุกต์ใช้ ซึ่งแม้จะมีการระบุว่า ธนาคารกรุงเทพจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า ส่วนธนาคารกสิกรไทยเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อน แต่จะเห็นได้ว่าธนาคารกรุงเทพก็ยังให้กู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซทั้งโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจน (ส่วนขยาย) และโรงไฟฟ้าหินกองและอาจจะต้องจับตาในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทราด้วยว่า ธนาคารกรุงเทพจะเป็นผู้ให้กู้หรือไม่ ในส่วนธนาคารกสิกรไทยก็อาจจะต้องจับตาในโครงการเขื่อนที่กำลังจะก่อสร้าง ทั้งปากแบง เซกอง 4A4B หรือมีแนวโน้มว่าจะสร้างอย่างสานะคาม หรือพูงอย
Thailand Taxonomy หลักการในระดับประเทศ แต่ไม่มีสภาพบังคับ
ธปท. ออกมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย (Thailand Taxonomy) ในปี 2566 ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ตามระดับการสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเป็นหลักการเชิงสมัครใจสำหรับนักลงทุนหรือบริษัทจัดสรรเงินทุนนำไปใช้อ้างอิงด้วยกรอบที่ชัดเจน การประกาศใช้ระยะที่ 1 เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 เริ่มจากภาคพลังงานและภาคการขนส่ง ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งประเทศ และระยะที่ 2 ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ครอบคลุมภาคส่วนอื่น ๆ ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการของเสีย
ใน Thailand Taxonomy แบ่งการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
สีเขียว สีเหลือง และสีแดง
- สีเขียว คือ กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใกล้เคียงศูนย์ (Near zero activities) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม
- สีเหลือง คือ กิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างมาก แต่สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างมีนัยสำคัญภายใต้กรอบเวลาสิ้นสุดในปี 2040 หรือ สนับสนุนกิจกรรมสีเขียวอื่นๆ แม้ตัวกิจกรรมเองจะไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ตาม ทั้งนี้กิจกรรมสีเหลืองอาจมีเกณฑ์การพิจารณาที่ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ เช่น ในภาคพลังงาน จะต้องดำเนินการเส้นทางการลดการปล่อยคาร์บอนให้ไว เพื่อให้ถือว่าเป็นกิจกรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านได้ จึงจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านได้
- สีแดง คือ กิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และไม่สามารถปรับให้สอดคล้องได้ ไม่ว่าจะเวลาใด กิจกรรมสีแดงควรจะต้องทยอยยุติลง (phased out) เช่น การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน) หากประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส
นอกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว กิจกรรมที่สอดคล้องกับ Thailand Taxonomy จะต้องผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ตามหลักการ ไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสําคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) และการคํานึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) องค์กรจะต้องผ่านการประเมินการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวของของไทย หรือกฎหมายของประเทศที่กิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้น
การดําเนินงานตาม Taxonomy จะต้องมีส่วนในการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 1 ด้าน จากทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Change Mitigation) 2) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) 3) การใช้น้ำอย่างยั่งยืนและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ 4) การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน 5) การป้องกันและควบคุมมลพิษ และ 6) การรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพให้สมบูรณ์
ทั้งนี้กิจกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมด้านอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ (Do No Significant Harm: DNSH) นอกจากนี้ กิจกรรมต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม (Minimum Social Safeguards: MSS) ในมิติต่างๆ ตามมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน ตามมาตรฐานสากล เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาหลักขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และมาตรฐานการดําเนินงานของบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC)
ในภาคพลังงาน Taxonomy กำหนดเงื่อนไขและตัวชี้วัดสําหรับการประเมินรายกิจกรรมในภาคพลังงานไว้ว่า
- กิจกรรมการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทั้งหมดจัดเป็นกิจกรรมสีเขียว
- พลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังนํ้าที่ดําเนินการก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2567 จะจัดเป็นกิจกรรมสีเขียวหากมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ความหนาแน่นของกําลังไฟฟ้ามากกว่า 5W/m2 หรือความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า 100 gCO2eq/ kWh ตลอดวัฎจักรชีวิต ส่วนโครงการใหม่จะต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบทั้งหมดเท่าที่เป็นไปได้ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงระบบนิเวศเพื่อลดผลกระทบในเชิงลบต่อนํ้าและแหล่งที่อยูอาศัยที่ได้รับความคุ้มครอง (protected habitats) ของสัตว์และพืชซึ่งต้องพึ่งพานํ้าโดยตรง มีมาตรการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการอพยพของปลาที่ปลายนํ้าและต้นนํ้า มีมาตรการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ จะต้องมีการจัดทําการประเมินผลกระทบ (impact assessment) เพื่อพิจารณาวาการออกแบบและสถานที่ตั้ง และมาตรการลดผลกระทบต่าง ๆ
- ก๊าซธรรมชาติ โครงการได้รับใบอนุญาตก่อสร้างหลังวันที่ 31 ธ.ค. 2566 จัดเป็นกิจกรรมสีแดง
- โรงไฟฟ้าที่ผลิตความร้อนและไฟฟ้าร่วมกันโดยอาศัยแหล่งพลังงานที่ไม่หมุนเวียน เช่น เชื้อเพลิงฟอสซิลและอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ไฮโดรเจนจากเชื้อเพลิงฟอสซิล) จัดเป็นกิจกรรมสีแดง
กิจกรรมที่จัดว่าเป็นสีแดงคือ การผลิตไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อนโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน นํ้ามัน ก๊าซ และอนุพันธ์ของเชื้อเพลิงดังกล่าว รวมถึงไฮโดรเจนจากฟอสซิล แต่ไม่รวมถึงผลพลอยได้ เช่น ความร้อนทิ้ง ถือว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
จากข้อมูล แม้ Thailand Taxonomy จะเป็นเพียงแนวปฏิบัติ โดยไม่มีสภาพบังคับ แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลของโครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ก็จะพบว่าอาจอยู่ในระดับสีแดง เพราะเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และเป็นโครงการได้รับใบอนุญาตก่อสร้างหลังวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ซึ่งจะถูกจัดเป็นสีแดง อันหมายความว่าเป็นกิจกรรมที่ควรจะต้องทยอยยุติลง (phased out) หากประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส
ดังนั้นสถาบันการเงิน/ธนาคาร ที่จะให้เงินกู้แก่โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ อาจจะเป็นกิจกรรมที่ไม่สอดคล้องกับกับหลักการ Thailand Taxonomy ซึ่งอาจจะตีความได้ว่าสถาบันการเงิน/ธนาคารนั้นกำลังส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมในกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทุกธนาคารประกาศ นโยบาย ESG แต่การให้กู้เงินในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซถือว่าเป็นการละเมิดนโยบาย ESG หรือไม่?
ตั้งแต่ สิงหาคม 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารพาณิชย์ 15 แห่ง ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือธนาคารทุกแห่งมีนโยบายไม่สนับสนุนสินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ธนาคารไทยพาณิชย์ มีแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาให้สินเชื่อสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะสำหรับโรงไฟฟ้าในปี 2561 ว่า ธนาคารจะไม่กิจกรรมที่เกี่ยวกับเชื้อเพลิงถ่านหิน ส่วนการสร้างเขื่อนถูกระบุว่า มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่สำคัญ ต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบดังนี้ มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อพันธ์ุพืชและสัตว์ทั้งบนบกและในน้ำ มีการจัดเตรียมแผนการโยกย้ายถิ่นฐานสำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ และมีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและนำเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบ ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ธนาคารจะให้การสนับสนุน โครงการที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เป็นไปตามแนวปฏิบัติดังนี้ มลพิษทางอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการยอมรับจากชุมชนในพื้นที่ โดยต้องมีมาตรการบรรเทาผลกระทบด้วยการใช้โมเดลทางคณิตศาสตร์ในการประเมินผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ การนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุด (Best Available Control Technology: BACT) มาใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงและการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในพื้นที่อย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อสื่อสารข้อมูลของโครงการให้ชุมชนรับทราบ ตลอดจนรับฟังข้อวิตกกังวลและแนวทางการแก้ปัญหา
ธนาคารกสิกรไทย ระบุประเภทเครดิตที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลว่า ธนาคารไม่สนับสนุนสินเชื่อใหม่ให้กับโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อนที่ไม่ได้มีมาตรการจัดการและแผนปฏิบัติงานตามแนวทาง Equator Principles และไม่มีสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินต่างประเทศเข้าร่วมสนับสนุนโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นใหม่ โดยที่ไม่มีเทคโนโลยีเพื่อลดค่าเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญร่วมด้วย
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในนโยบายเพื่อการให้สินเชื่ออย่างยั่งยืนระบุว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโรงไฟฟ้าชีวมวล จัดอยู่ในกลุ่มธุรกรรมพึงระมัดระวัง (High Caution Transaction) ที่การให้สินเชื่อต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และ ควรพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้าที่มีมาตรการด้าน ESG ที่เหมาะสม โดยจะอนุมัติสินเชื่อให้ธุรกรรมที่มีการลดทอนความเสี่ยงด้าน ESG ในระดับที่ธนาคารยอมรับได้ ธนาคารจะประเมินการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของลูกค้า ในกรณี Project Finance ต้องผ่านการตรวจสอบ (due diligence) โดยบุคคลภายนอกที่เป็นอิสระจากธุรกรรม
ธนาคารทหารไทย มีนโยบายเฝ้าระวังผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากกิจกรรมหรือธุรกิจเฉพาะว่า ในการผลิตไฟฟ้า ลูกค้าต้องดำเนินการตามกฎหมายและข้อกำหนดในระดับท้องถิ่น และยังส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้มาตรฐานและกรอบการดำเนินงานที่ยอมรับได้ในระดับท้องถิ่น/สากล (เช่น the International Hydropower Association, World Commission on Dams เป็นต้น ลูกค้าต้องแสดงหลักฐานการ
ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่าให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ว่าจะมีการพิจารณาความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของโครงการอย่างรอบด้าน แต่ไม่ระบุมาตรการเฉพาะเจาะจง
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า แม้หลักการ ESG ที่ธนาคารต่างๆ ประกาศไว้จะไม่ได้กล่าวถึงการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซโดยตรง ว่าเป็นโครงการที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในส่วนของ E -Environmental (สิ่งแวดล้อม) ที่จะต้องพิจารณาผลกระทบของบริษัทต่อสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น การจัดการมลภาวะ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการขยะ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีเพียงธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้นที่กล่าวถึงในส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ว่าธนาคารจะให้การสนับสนุน โครงการที่บริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่เป็นไปตามแนวปฏิบัติ ทั้งเรื่องมลพิษทางอากาศ และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อย่างไรก็ตาม การผลิตไฟฟ้าด้วยการนำก๊าซซึ่งก็คือเชื้อเพลิงฟอสซิลมาเผา นอกจากจะก่อให้เกิดเรือนกระจกแล้ว ยังทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) อีกด้วย ซึ่งทั้งไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ยังเป็นสารตั้งต้นหลักในการเกิดมลพิษ PM 2.5 โดยเฉพาะ ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO₂) ซึ่ง NASA ระบุว่าเป็น “ตัวบ่งชี้หลักของการปล่อยมลพิษจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง” เมื่ออยู่ในชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้จะเกิดปฏิกิริยาเคมีและกลายเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5
ดังนั้นแม้โดยเนื้อหาของหลักการ ESG ที่ธนาคารต่างๆ ประกาศ จะยังไม่ได้ครอบคลุมการไม่สนับสนุนสินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ แต่โดยข้อเท็จจริงนั้นการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ เท่ากับว่าเป็นการสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซอื่นๆ ที่เป็นมลพิษและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สถาบันการเงิน/ธนาคารจึงควรหยุดการให้สินเชื่อแก่โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซ เพื่อดำเนินธุรกิจตามแนวงทางความยั่งยืนอย่างแท้จริง