ไฟฟ้าไทย อยู่ในมือใคร? 

ปัจจุบัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยอยู่ที่ภาคเอกชนมากกว่าครึ่ง ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) 39.04% (20,298.50 เมกะวัตต์) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) 17.74% (9,223.38 เมกะวัตต์) และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ 11.99% (6,234.90 เมกะวัตต์) เมื่อรวมกันจะพบว่าเอกชนถือครองสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในระบบสูงถึง 68.77% ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีกำลังการผลิตในระบบเพียง 31.23% หรือ 16,235.02 เมกะวัตต์ เท่านั้น 

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น จึงทำให้มีโรงไฟฟ้าเอกชนไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเท่ากับกำลังการผลิตตามสัญญา เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าจริงที่เกิดขึ้นต่ำกว่ากำลังการผลิตในระบบ แต่อย่างไรก็ต้องจ่าย ‘ค่าพร้อมจ่าย’ ในราคาเต็ม เนื่องจากสัญญาแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (take or pay) ตามเงื่อนไขที่ กฟผ. ทำกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เพื่อสะท้อนต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เอกชนผู้ลงทุนต้องจ่ายไปก่อน โดยค่าความพร้อมจ่ายถือเป็นต้นทุนที่สูงเป็นอันดับสองในโครงสร้างค่าไฟฟ้าปัจจุบัน แค่เฉพาะในปี 2567 มีประมาณการค่าความพร้อมจ่ายที่จ่ายให้กับพลังงานไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเท่ากำลังผลิตตามสัญญาเป็นเงินประมาณ 55,042.67 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงภาระทางการเงินที่ถูกผลักเข้ามาในบิลค่าไฟฟ้า ซึ่งประชาชนทุกคนต้องแบกรับจากกำลังการผลิตที่เกินความจำเป็นในปัจจุบัน

แผน PDP ใหม่ยังไร้วี่แวว แต่มีโรงไฟฟ้าที่กำลังรอเข้าระบบอยู่แล้ว

สถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านพลังงานกำลังทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan) หรือ PDP ซึ่งเป็นแผนแม่บทที่กำหนดการลงทุนขยายระบบไฟฟ้าในประเทศไทยว่าต้องสำรองไฟเท่าไร จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าประเภทใด จะถูกสร้างเมื่อไร โดยใคร มีจำนวนกี่โรง ยังคงไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นทางการ แม้จะมีการออกร่างแผน PDP2024 มาเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 เพื่อรับฟังความคิดเห็น แต่นับจากนั้นเป็นเวลากว่า 1 ปี ร่างแผน PDP2024 ก็ยังไม่ถูกประกาศใช้ และไม่มีความคืบหน้าใดออกมาอีก ซึ่งล่าสุดมีข่าวปรากฏว่า กระทรวงพลังงานกำลังเดินหน้าแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำแผน PDP ชุดใหม่ ซึ่งเท่ากับว่าร่างแผน PDP2024 ที่ประกาศรับฟังความคิดเห็นเมื่อปีที่ผ่านมานั้นจะไม่ถูกนำมาใช้แล้ว และจะมีการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ขึ้นมาแทน 

อย่างไรก็ตาม แม้แผน PDP ใหม่จะยังไม่ออกมา ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่ผูกพันกับสัญญาจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) ที่ไม่อาจยกเลิกได้ กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดคำถามว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นก่อนที่แผนใหม่จะเสร็จสมบูรณ์นี้ จะยังสอดคล้องกับทิศทางพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคตหรือไม่ 

โดยโครงการโรงไฟฟ้าที่เซ็นสัญญาแล้วและกำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ ได้แก่

  1. โรงไฟฟ้าบูรพา พาวเวอร์ กำลังผลิตตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ จะเริ่มจ่ายไฟในปี 2570 สัญญาสัมปทาน 25 ปี โดยเป็นของบริษัท 
    • NPS 65%
    • Gulf 35%
  2. เขื่อนหลวงพระบาง กำลังผลิตตามสัญญา 1,400 เมกะวัตต์ จะเริ่มจ่ายไฟในปี 2573 สัญญาสัมปทาน 35 ปี โดยเป็นของบริษัท 
    • CKP 50%
    • ช.การช่าง 20%
    • Gulf 19.99%
    • PT Sole 10.01%
  3. เขื่อนปากลาย กำลังผลิตตามสัญญา 763 เมกะวัตต์ จะเริ่มจ่ายไฟในปี 2575 สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยเป็นของบริษัท 
    • Gulf 100%
  4. เขื่อนเซกอง 4A&4B กำลังผลิตตามสัญญา 347.3 เมกะวัตต์ จะเริ่มจ่ายไฟในปี 2576 สัญญาสัมปทาน 27 ปี โดยเป็นของบริษัท 
    • Ratch 60%
    • BGRIM 20%
    • Lao World Engineering & Construction 20%
  5. เขื่อนปากแบง กำลังผลิตตามสัญญา 897 เมกะวัตต์ จะเริ่มจ่ายไฟในปี 2576 สัญญาสัมปทาน 29 ปี โดยเป็นของบริษัท 
    • China Datang 51%
    • Gulf 49%

นอกจากนี้ยังมีโรงไฟฟ้าของ กฟผ. อีก 1,400 เมกะวัตต์ ที่จะต้องเข้าระบบตามแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ และจะมีโรงไฟฟ้าที่กำลังจะออกจากระบบคือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมน้ำพอง ชุดที่ 1 และ 2 ขนาดกำลังผลิตตามสัญญารวม 650 เมกะวัตต์ ที่ตามแผนจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ตามมติการขยายเวลาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ก่อนหน้านี้ และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่จะมีการหยุดเดินเครื่อง ทั้งเครื่อง 4 ในปี 2569 กำลังการผลิตตามสัญญา 140 เมกะวัตต์ ที่แต่เดิมจะหยุดเดินเครื่องในปี 2562 แต่มีการนำกลับมาเดินเครื่องใหม่เพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤตพลังงาน เครื่อง 9 และ 10 กำลังการผลิตรวมตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ ในปี 2569 และเครื่อง 12 และ 13 กำลังการผลิตรวมตามสัญญา 540 เมกะวัตต์  ที่จะหยุดทำงานปี 2569-73

ดังนั้นจะเห็นว่า แม้จะยังไม่มีแผน PDP ฉบับใหม่ และประเทศไทยยังมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบมากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ แต่เราก็ยังจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นภายในปี 2576 อีกอย่างน้อย 3,947.3 เมกะวัตต์ เลยทีเดียว และหากพิจารณาสัดส่วนการถือหุ้นในชั้นแรก โดยไม่ได้พิจารณาการถือหุ้นโดยอ้อมของบริษัทที่เป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังจะเข้าสู่ระบบภายในปี 2576 จะสามารถเรียงลำดับตามสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของแต่ละบริษัทได้ ดังนี้

  1. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) 1,671.39 เมกะวัตต์
  2. บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CKP) 700 เมกะวัตต์
  3. บริษัท ไชน่าต้าถัง โอเวอร์ซี อินเวสต์เมนต์ (China Datang) 457.47 เมกะวัตต์
  4. บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) (NPS) 351 เมกะวัตต์
  5. บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) (CK) 280 เมกะวัตต์
  6. บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (RATCH) 208.38 เมกะวัตต์
  7. PT Sole Company Limited 140.14 เมกะวัตต์
  8. บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM) 69.46 เมกะวัตต์
  9. Lao World Engineering & Construction Co.,Ltd 69.46 เมกะวัตต์

จากข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าที่กำลังจะเข้าระบบก็มาจากเอกชนเป็นหลักเช่นกัน รวมถึงยังพึ่งพาพลังงานจากแหล่งเดิมๆ ทั้งก๊าซฟอสซิลที่ขัดแย้งกับแนวทาง Net Zero หรือไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนในแม่น้ำโขงที่ไม่มั่นคงทั้งการเป็นแหล่งพลังงานนอกประเทศและความผันผวนของน้ำที่เกิดจากปัญหาโลกร้อนและเขื่อนจีนที่อยู่ต้นน้ำ 

อนาคตพลังงานไทยที่ต้องจับตาภายใต้แผน PDP ฉบับใหม่ 

ในช่วงการเปิดรับฟังความคิดเห็นของร่างแผน PDP2024 เมื่อปี 2567 JustPow ได้จัดทำ 13 ข้อสังเกตต่อร่างแผน PDP2024 เพื่อนำเสนอข้อมูลต่อสาธารณะ และยังได้ร่วมมือกับเครือข่ายจัดเวทีสาธารณะเพื่อระดมความคิดเห็นของประชาชนทั้ง 5 ภูมิภาค ต่อร่างแผน PDP2024 จนได้ข้อเสนอภาคประชาชนต่อร่างแผน PDP2024 ออกมา และนำเสนอต่อกระทรวงพลังงาน แต่สุดท้ายแล้ว ร่างแผน PDP2024 ก็ถูกยกเลิก และจะมีการร่างแผน PDP ฉบับใหม่ขึ้นมาแทน 

สำหรับแผน PDP ฉบับใหม่ที่จะมีการจัดทำขึ้น JustPow เห็นว่า ควรจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มสัดส่วน พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอย่างถ่านหินและก๊าซธรรมชาติที่มีราคาสูงและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ดังนี้

  • การแก้ไขปัญหาต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยยังคงพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก และมีการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ (LNG) ในสัดส่วนที่สูง ทำให้เกิดความเสี่ยงจากราคาในตลาดโลกที่ผันผวน ขณะเดียวกัน ร่างแผน PDP2024 ยังคงวางสัดส่วนให้ภายในปี 2580 มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในระบบถึงร้อยละ 41 บ่งชี้ว่าประเทศไทยจะยังคงต้องนำเข้า LNG อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราค่าไฟฟ้าของประชาชนหากเกิดวิกฤตพลังงานขึ้นอีกครั้ง การแก้ไขจึงต้องพุ่งเป้าไปที่การลดการพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติในระยะยาว
  • การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและการลงทุนในเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน ข้อมูลจากรายงานวิจัย Thailand: Turning Point for a Net-Zero Power Grid โดย BloombergNEF ชี้ว่าการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนคือแนวทางที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในราคาที่ประชาชนสามารถจ่ายได้ โดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจำนวนมากแห่งใหม่ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยแล้ว และการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับระบบกักเก็บพลังงาน จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศได้ 
  • การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop)
    การสนับสนุนให้ครัวเรือนและภาคธุรกิจขนาดเล็กสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) และขายไฟฟ้าส่วนเกินคืนให้แก่ระบบในราคาที่เหมาะสมจะเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยกระจายโอกาสในการผลิตไฟฟ้าให้ประชาชน และลดการผูกขาดของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ รายงาน “ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน” จาก กรีนพีซ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทราจะมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย ฉะเชิงเทราจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2581 ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหากมีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) และขายคืนให้แก่ภาครัฐได้ในราคาที่เหมาะสมก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางสู่เป้าหมายด้านพลังงานสะอาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเพราะมีศักยภาพอยู่แล้ว
  • การปรับปรุงโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรม ควรมีการทบทวนและแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม เช่น การรับซื้อไฟฟ้าโดยให้เงินอุดหนุนเพิ่ม (Adder, FiT) ที่ให้เงินอุดหนุนในอัตราที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนจากเทคโนโลยีใหม่ๆ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การรับซื้อไฟฟ้าในอัตราที่ไม่สะท้อนต้นทุนปัจจุบันและอนาคตนี้ อาจสร้างภาระทางการเงินที่ไม่จำเป็นให้กับภาครัฐและประชาชน อีกทั้งแก้ไขสัญญาที่มีค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment) ที่ต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าเอกชนเต็มจำนวนแม้ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเต็มกำลังตามสัญญา การจ่ายเงินในส่วนนี้ทำให้เกิดภาระต้นทุนคงที่ที่สูง และไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่แท้จริงของประเทศ นอกจากนี้การที่ประเทศไทยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าล้นเกินอยู่แล้วในปัจจุบัน การเพิ่มโรงไฟฟ้าใหม่เข้าสู่ระบบจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพราะจะยิ่งเพิ่มภาระค่าความพร้อมจ่ายและผลักต้นทุนค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้น

บทความยอดนิยม

ในยุคที่เรียกกันติดปากว่า “ของแพง ค่าแรงถูก” ปัญหาหนักอกของคนไทยทั้งประเทศก็คือ สินค้า และบริการที่กำลังขึ้นราคานั้นหลายชนิดไม่ใช่ของหรูหราราคาแพงที่นานๆ เราจะซื้อที แต่เป็นของที่เราจำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ไม่เว้นแม้แต่ “ค่าไฟฟ้า” สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในวิถีชีวิตสมัยใหม่
สำรวจและทำความเข้าใจความหมายเบื้องต้นของความมั่นคงทางพลังงาน รวมถึงประเทศไทยมีจุดยืนเป็นอย่างไรในเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน
ทำไม 'โรงไฟฟ้าพลังน้ำจากลาว' ในร่าง PDP2024 ถึงไม่จำเป็น

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ และจะส่งผลกระทบต่อสัดส่วนพลังงานและค่าไฟในอนาคตอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพา พาวเวอร์  ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กำลังผลิตตามสัญญา 540 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเริ่มจ่ายไฟในปี 2570 สัญญาสัมปทาน 25 ปี เป็นของบริษัท NPS 65% Gulf 35% สถานะปัจจุบันเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ก่อสร้าง ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยไฟสำรองล้นเกิน ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด และมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ตามแผน NDC3.0 นำมาสู่คำถามที่สำคัญว่า โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ ยังมีความจำเป็นอยู่ไหม? ประเทศไทยไฟล้น ภาคตะวันออกเองก็โรงไฟฟ้าล้นแล้วเหมือนกัน หากการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากข้อมูลการใช้ไฟก็จะพบว่า ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน ปี 2568 ระบุว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบอยู่ที่ 51,991.80 เมกะวัตต์ เมื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศในปีเดียวกัน ซึ่งอยู่ที่ 34,568.30 เมกะวัตต์ จะพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในระบบนั้น มากกว่าความต้องการใช้จริงถึง 17,423.5 เมกะวัตต์ ตัวเลขนี้คือการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกินจากการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น  […]

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine ยังสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู ทั้งการนำเอาไทม์ไลน์จริงของประเทศไทยในช่วงปี

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง

ความไม่จำเป็นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ จ.ฉะเชิงเทรา

แม้แผน PDP ฉบับใหม่จะยังไม่ออกมา แต่ก็มีโครงการโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาผูกพันจากแผน PDP2018 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) กำลังจะทยอยเข้าสู่ระบบ

แคมเปญ #หยุดโรงไฟฟ้าก๊าซบูรพาพาวเวอร์ #หยุดเพิ่มภาระค่าไฟให้ประชาชน

ร่วมลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของกลุ่ม Fossil Free Thailand ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มชุมชนผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า และเครือข่ายภาคประชาชน จ. ฉะเชิงเทรา

หวั่นแผน PDP ใหม่ไร้เสียงประชาชน ชง กมธ.พลังงาน ดันตัวแทนภาคประชาสังคมนั่งกรรมการร่างแผน PDP 

JustPow ร่วมกับกรีนพีซ ประเทศไทย ยื่นหนังสือต่อตัวแทนคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ให้มีตัวแทนของภาคประชาสังคมในคณะกรรมการร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่

ตามรอยประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Shine : โรงไฟฟ้าห้วยคำแสงคือโครงการอะไร แล้วสภาพัฒน์เกี่ยวยังไงกับการสร้างโรงไฟฟ้า 

ซีรีส์ Shine สร้างปรากฏการณ์ตั้งแต่ยังไม่ออกฉายกับการประกาศตัวว่าเป็นซีรีส์เกย์เรื่องแรกของค่าย Be On Cloud ไม่เพียงแค่นั้นเมื่อออกฉายแล้ว Shine